วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

น้ำเต้าหู้ใบเตย…เพื่อสุขภาพ!! ทำเองได้ ง่ายกว่าที่คิด!!



         เมื่อพูดถึง"น้ำเต้าหู้" เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักเป็นอย่างดี และอาจจะเป็นเมนูโปรดปรานของหลายๆคน และไม่ว่าไปผ่านไปไหนมาไหน ช่วงเช้า หรือเย็น ก็มักจะมองเห็น ผู้คนยืนต่อคิวเรียงแถวกันยาวเหยียด ซื้อน้ำเต้าหู้ 

         วันนี้ ไข่เจียว.com จึงขอนำ สูตรทำน้ำเต้าหู้ใบเตยเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นสูตร ของคุณ NichachaCuisine ซึ่งมีวิธีทำที่ง่ายแสนง่าย จนคุณไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้ เริ่มอยากรู้วิธีทำแล้วใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้น เราไปดูพร้อมกันเลยค่ะ 

         สวัสดีค่าา ตามสัญญากับน้ำเต้าหู้ใบเตยเนอะ ที่ทำเนี่ยเพราะว่าแถวบ้านไม่มีน้ำเต้าหู้อร่อยๆซักจ้าว รู้สึกว่าใส จืด ไม่อร่อย เราอยากทานน้ำเต้าหู้ที่เข้มข้นบ้างอ้ะะะ ก็เลยลองทำดู ทำหลายครั้งแล้ว ก็ถูกอกถูกใจคนที่บ้าน ชอบให้ทำบ่อยๆ วิธีการไม่ยากมาก แต่ใช้เวลาแช่ถั่วสักหน่อย ไปดูเลยดีกว่าค่ะ

อุปกรณ์…
      – เครื่องปั่น
      -ถุงกรองชา หรือ ผ้าขาวบาง
      -หม้อใหญ่ๆ 2 หม้อ
เครื่องปรุง…
      -ถั่วเหลือง 1 กก.
      -ใบเตย 3 ต้น
       -น้ำตาล 2 ถ้วย
      -น้ำสะอาด 1.5 ลิตร
น้ำเต้าหู้ใบเตย1
 
มาดูถั่วกันใช้ถั่วเหลืองไปซื้อที่ตลาดค่ะ บอกอาแปะเอาถั่วเหลืองถุงนึง! ><
น้ำเต้าหู้ใบเตย2
 
นิชาใช้ถั่วซีกแบบนี้ เพราะคิดว่าน่าจะพองน้ำได้เร็วกว่าถั่วเต็มเมล็ด
น้ำเต้าหู้ใบเตย3
 
ล้างและแช่น้ำเอาไว้ค่ะ ต้องหม้อหรือกะละมังใหญ่ๆหน่อยน้า เพราะว่าน้องถั่วจะพองขึ้นมาเยอะมากกก
น้ำเต้าหู้ใบเตย4
 
ผ่านไปสองชั่วโมงค่ะ ดูสิอืดฉึ่งเลย เราต้องแช่ไว้ข้ามคืนนะคะ นิชาไม่มีหม้อใบใหญ่เลยต้องแบ่งแช่เป็นทั้งหมดสองหม้อค่ะ
น้ำเต้าหู้ใบเตย5
 
     นี่คือหน้าตาถั่วที่แช่ไว้ข้ามคืนแล้วค่ะ นิชากลับบ้านมาก็แช่เอาไว้ข้ามคืนเช้ามา เอาน้ำออก เพราะว่าต้องไปทำงานไม่กล้าแช่ทิ้งไว้เพราะว่ากลัวเป็นน้องถั่วเน่า ก็เลยเอาน้ำออกแล้วแช่ตู้เย็นเอาไว้ตอนเย็นค่อยกลับมาทำค่ะ
น้ำเต้าหู้ใบเตย6
 ต่อไปเป็นใบเตยยยย เราล้างด้วยแบ๊กกิ้งโซดาค่ะ
น้ำเต้าหู้ใบเตย7
 
     ใช้กรรไกรตัดๆ จริงควรจะตัดให้มันละเอียดกว่านี้นะคะ ถ้าประสิทธิภาพของเครื่องปั่นไม่ดีมากหรือจะสับๆเลยก็ได้ค่ะ จะปั่นได้ง่ายขึ้น ใบจะไม่พันกับมีดเครื่องปั่น แบบว่านิชาพันประจำ T^T
น้ำเต้าหู้ใบเตย8
 
เอาถั่วใส่โถปั่น ^^
น้ำเต้าหู้ใบเตย9
 
เอาน้ำใส่ให้ท่วมถั่วเลยจ้าาาา
น้ำเต้าหู้ใบเตย10
 
  น้ำ 1.5 ลิตรก็ประมาณ น้ำดื่มขวดใหญ่ที่ขายใน 7-11 อ่ะค่ะ ค่อยแบ่งใส่ตอนปั่นถั่วจนหมด (ทำไมเห็นภาพนี้แล้วหิวเต้าเจี้ยวนะ ^^”)
น้ำเต้าหู้ใบเตย11
 
ปั่นนนน….เอาให้กระจุยกระจายเลยค่ะ >p<
น้ำเต้าหู้ใบเตย12
 
     อุปกรณ์เสริมของเราค่ะ อาจจะใช้ผ้าขาวบางก็ได้นะคะ แต่นิชาว่าถุงกรองชาสะดวกสำหรับนิชามากกว่า ก่อนใช้ก็นำมาซักด้วยน้ำยาล้างจานซะหน่อยนะคะ ซื้อในตลาด 35 บาทค่ะ
น้ำเต้าหู้ใบเตย13
 
เอาถั่วที่ปั่นแล้วใส่ถุงชากรองเอาน้ำออกมาค่ะ เป็นไงใกล้ความจริงแล้วชิมิ >
น้ำเต้าหู้ใบเตย14
 
ปั่นถั่วเสร็จแล้วเอาน้องใบเตยลงปั่นตามเลยคร้าาา ไม่ต้องล้างโถให้เสียเวลา
น้ำเต้าหู้ใบเตย15
 
กรองน้ำใบเตยตามแบบถั่วเป๊ะๆอย่าได้ผิดเพี้ยน อิอิ ><
น้ำเต้าหู้ใบเตย16
 
ได้ละ น้ำเต้าหู้ผสมใบเตยสีสันสวยงาม
น้ำเต้าหู้ใบเตย17
 
   เอาตั้งไฟอ่อนๆๆ ใจเย็นๆใครทำแก๊สเปิดไฟอ่อนนะคะ นิชาเคยทำด้วยเตาแก๊ส ก็สำเร็จค่ะ แต่ต้องไฟอ่อนๆคอยคนคอยดู คนไปเรื่อยๆ จะเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ที่ก้นหม้อ  แนะนำให้ว่าอย่าขูดนะคะ เพราะถ้ามันไหม้ กลิ่นใหม้มันจะปนขึ้นมากับน้ำเต้าหู้เราค่ะ คนไปเบาๆประมารซัก 10 นาที เค้าจะเริ่มดือดปุดๆ ก็ใช้ได้แล้วค่ะ ไม่เชื่อชิมดูก็ได้ ถ้ารสชาติเป็นน้ำเต้าหู้แล้วแสดงว่าใช้ได้ ถ้ายังเป็นรสน้ำถั่วอยู่แสดงว่ายังไม่สุก
ง่ายไหมวิธีเช็คของนิชา 555 >p<..
น้ำเต้าหู้ใบเตย18
 
สุกแล้ว ส่งกลิ่นหอมอบอวนเลย ^^
น้ำเต้าหู้ใบเตย19
 
 นิชาทำน้ำเชื่อมไว้แล้วค่ะโดยใช้น้ำตาล 1 ส่วน ต่อ น้ำ 1 ส่วน ใส่ใบเตยลงไปต้มให้น้ำตาลละลายดี
น้ำเต้าหู้ใบเตย20
 
น้ำเต้าหู้ใบเตยพร้อมเสริ์ฟอุ่นๆแล้วจ้า
น้ำเต้าหู้ใบเตย21
 
ชอบหวานแค่ไหนใส่น้ำเชื่อมตามใจชอบเลยจ้า ^^ ถ้าใครลดหุ่นก็ใส่พวกน้ำตาลโลว์แคลอรี่แทนก็ได้เนอะ
น้ำเต้าหู้ใบเตย22
 
      แถมๆ น้ำเต้าหู้ใส่เต้าหู้ เอ๊ะ ยังไง งง อิอิ ^^ เป็นขนมหวานที่นิชาชอบทำ จริงๆเป็นเต้าหู้นมสด แต่ว่าคราวนี้เอาน้ำเต้าหู้ที่ทำมาใส่แทน
โดยใช้เต้าหู้ถั่วเหลืองหั่นโรยน้ำตาลทรายแดง และน้ำเต้าหู้ผสมกับนมสด หรือว่าจะน้ำเต้าหู้อย่างเดียวตามชอบเลยค่า เป็นเมนูที่ง่าย และอร่อยได้สุขภาพด้วยนะคะ
1413467265

         นิชาว่าไม่ยากเท่าไหร่น้า แต่ต้องให้เวลาในการแช่ถั่วคืนนึงเนอะ  ใครอยากลองทานน้ำเต้าหู้ฝีมือตัวเองลองทำดูนะคะ วันนี้ไปแล้วค่ะ ขอบคุณี่เข้ามาอ่านแวะเข้ามาชม  ^__________________________^

        เอาล่ะทีนี้!!! ได้ทราบสูตรเด็ดวิธีทำน้ำเต้าหู้ใบเตยกันไปแล้ว งั้นเราก็ไปตลาดเตรียมซื้อของมาทำน้ำเต้าหู้ดื่มไว้เองดีกว่าค่ะ คราวนี้ไม่ต้องไปต่อคิวยาวซื้อน้ำเต้าหู้แล้วซินะ อิอิอิ

เรียบเรียงโดย : ไข่เจียว.com
ที่มา sanook.com
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากคุณNichachaCuisine

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คู่มือสั่งสเต็กไม่ให้หน้าแตก! เลือกเนื้อให้ถูกปาก เลือกความสุกให้ถูกใจ




ชื่อสเต็กชนิดต่างๆ เรียกจากวิธีการตัดชิ้นเนื้อจากส่วนต่างๆ ของวัว โดยคุณภาพและราคาของเนื้อวัวแบ่งตามเกรดและความนุ่มของเนื้อ ยิ่งกล้ามเนื้อวัวส่วนไหนใช้งานน้อย ก็ยิ่งนุ่มและแพง เราสามารถแบ่งเนื้อวัวได้ตามระดับความนุ่ม ได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1.ส่วนที่นุ่มที่สุด ได้มาจากส่วนหลังของวัว คือ เนื้อสัน (Loin) และซี่โครง (Rib)
2.นุ่มปานกลาง จะเป็นเนื้อบริเวณ โคนขาและสะโพก (Leg or Round) และเนื้อจากบริเวณหัวไหล่ (Chuck)
3.นุ่มน้อย เป็นเนื้อจากบริเวณตอนกลางลำตัวด้านท้อง (Flank) ด้านอก (Short plate) ส่วนต้นขาด้านหน้า (Brisket) ส่วนต้นขาหน้า (Shank) และส่วนคอ (Neck) 

ประเภทที่ 1 : นุ่มที่สุด

ได้มาจากส่วนหลังของวัว ได้แก่ส่วน เนื้อสัน (Loin) และ ซี่โครง (Rib) เหมาะกับการนำไปทอด ,ย่าง, อบ




เนื้อสัน (Loin / ลอยน์): หมายถึงสะโพกวัว นิยมเอามาทำสเต็กเพราะมีความนุ่มและแพงที่สุด
เนื้อสัน หรือ ลอยน์สามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยได้อีกดังนี้




1.1) เนื้อเทนเดอร์ลอยน์ (Tenderloin Steak) หรือ Filet Mignon (ฟิเลมิยอง)

เป็นเนื้อสันในที่มีความนุ่มอร่อยเป็นพิเศษ เพราะเป็นเนื้อส่วนที่วัวไม่ต้องออกแรงใช้กล้ามเนื้อมาก มีขนาดชิ้นเล็กที่สุด ไขมันน้อย ราคาแพง มักจะจัดเสิร์ฟเป็นชิ้นหนาประมาณ 2 นิ้วขึ้นไป เพื่อความนุ่มที่สมบูรณ์แบบ


1.2) เนื้อสตริปลอยน์ (Strip Loin Steak) หรือ นิวยอร์กสตริปสเต็ก (New York Strip) 
เนื้อสันติดมันที่ติดอันดับเนื้อสเต็กที่อร่อยที่สุด เพราะทั้งนุ่มละลายในปากแบบเทนเดอร์ลอยด์และชุ่มฉ่ำจากส่วนที่ติดมัน รสเข้มถึงใจ ถือเป็นสุดยอดเนื้อของวงการสเต็ก แน่นอนว่าราคาสูงปรี้ดเช่นกัน !



1.3) ทีโบน (T-bone Steak) หรือพอร์ตเตอร์เฮาส์ (Porterhouse) เนื้อส่วนที่ได้จากการเฉือนกึ่งกลางระหว่างเทนเดอร์ลอยน์ และเนื้อสตริปลอยน์(เนื้อสันติดมัน) คั่นกลางด้วยกระดูรูปตัว T ทำให้ถูกเรียกว่าทีโบน ทำให้เราได้ลิ้มรสเนื้อสองแบบในเวลาเดียวกัน  ทีโบนต่างกับพอร์ตเตอร์เฮ้าส์ที่จะมีส่วนที่เป็นเทนเดอร์ลอยน์มากกว่าและชิ้นใหญ่กว่า อร่อยเลิศขนาดนี้ราคาก็แพงหูฉี่สะใจ


1.4) เซอร์ลอยน์ (Sirloin Steak)      
   
เนื้อสันนอกหรือเนื้อสะโพกด้านบนที่เต็มไปด้วยเนื้อนุ่มๆ ปนมันแถมลายเนื้อพอให้เคี้ยวกรุบ ๆ มีทั้งความนุ่มและความมัน และราคาไม่แพงมากนัก
ซี่โครง (Rib / ริบ): ตัดมาจากส่วนต้นซี่โครง ตัดแต่งกระดูกและเอ็นรอบนอกออก เหลือแต่เนื้อส่วนกลางที่ให้รสชาติดีที่สุด
ซี่โครงมีเนื้อที่นุ่ม รสเข้ม นิยมนำมาย่าง และทอดน้ำมันน้อยๆ โดยสามารถแบ่งเป็นประเภทย่อยได้อีกดังนี้


1.5) โทมาฮอว์ค (Tomahawk Steak)

สเต็กเนื้อที่มาพร้อมกระดูกคล้ายกับทีโบน แต่ชิ้นเนื้อใหญ่อลังการกว่าเพราะเป็นเนื้อซี่โครงส่วนที่ใหญ่ที่สุดในตัววัว มีเนื้อหนังและไขมันจัดเต็ม ส่วนมากจะถูกเสิร์ฟด้วยความหนาประมาณ 2 นิ้วขึ้นไป



1.6) ริบอาย (Ribeye Steak)           
เนื้อซี่โครงย่างกรุบกรอบที่ได้เนื้อติดมันมามาก จึงขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยชุ่มฉ่ำ เนื้อนุ่ม และรสเข้ม  ถือว่าเป็นเนื้อที่ชุ่มฉ่ำและรสจัดที่สุด ราคาถูกว่าฟิเลมิยอง นิยมนำมาย่าง และทอดน้ำมันน้อยๆ

ประเภทที่ 2 : นุ่มปานกลาง

ได้แก่เนื้อจากบริเวณโคนขาและสะโพก (Round) และเนื้อจากบริเวณหัวไหล่ (Chuck) เหมาะกับการนำไป ต้ม, ตุ๋น, ทำเนื้อบด



2.1) ท็อป เบลด (Top Blade Steak) หรือแฟลท ไอรอน (Flat Iron)  เนื้อสันบริเวณคอหรือหัวไหล่ Chuck เนื้อประเภทนี้จะมีความหนาเหมาะสำหรับการทำอาหารประเภท อบ การทำสตู เพราะจะได้เนื้อที่นิ่มเเละอร่อย เนื้อปนมันนุ่มชุ่ม ฉ่ำ มีมันมาก ความนุ่มเป็นรองแค่เทนเดอร์ลอยน์ รสดี นำไปย่าง หรืออบโดยไม่ต้องหมักก็อร่อย แถมราคาเนื้อส่วนนี้ถูกกว่าส่วนเทนเดอร์ลอยน์เกือบครึ่งอีกด้วย


2.2)
 เนื้อวัวส่วนสะโพก (top round) 

เนื้อวัวตัดจากส่วนหลังของขา แม้ว่าเนื้อในส่วน round นี้จะเป็นส่วนที่ทำงานหนักเหมือน ส่วน chuck แต่เนื้อจาก round จะนุ่มกว่า

ประเภทที่ 3 นุ่มน้อยที่สุด



เนื้อเหล่านี้ไม่นิยมนำมาทำเป็นสเต็ก เหมาะสำหรับการนำไป ตุ๋น, ทำสตู, เนื้อบด ได้แก่

เนื้อจากบริเวณ ตอนกลางลำตัวด้านท้อง (Flank)
ด้านอก (Short plate)
ส่วนต้นขาด้านหน้า (Brisket)
ส่วนต้นขาหน้า (Shank)
ส่วนคอ (Neck) 

เกรดของเนื้อสเต็ก


 
เกรดของเนื้อสเต็ก แบ่งตามความนุ่มจากปริมาณไขมันได้เป็น 3 ระดับ คือ

1. Prime เนื้อคุณภาพสูงสุด นุ่มและรสชาติเข้มข้นที่สุด มีปริมาณไขมันมาก
2. Choice เนื้อที่ได้รับความนิยมสุด ยังมีความนุ่มและจำนวนไขมันพอสมควร
3. Select เนื้อที่มีปริมาณไขมันน้อยที่สุด ไม่ค่อยนุ่ม

ระดับความสุกของสเต็ก

ความสุกของเนื้อสเต๊กแบ่งได้เป็น 6 ระดับ คือ
1. บลูแรร์ (Blue Rare) : สุกแค่ผิวเนื้อด้านนอก ด้านในยังดิบแบบเป็นสีแดงเกือบทั้งชิ้น
2. แรร์ (Rare) : ย่างแบบเนื้อด้านนอกสุกพอประมาณ (เป็นสีน้ำตาลอมเทา) ส่วนด้านในยังเป็นเนื้อแดงอมชมพูอยู่ ส่วนมากจะใช้เวลาย่างประมาณ 1 นาที
3. มีเดียม แรร์ (Medium Rare) : เนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบ ด้านในยังเป็นเนื้อแดงประมาณ 50%
4. มีเดียม (Medium) : ย่างให้สุกขึ้นมาอีกนิด พอให้เนื้อด้านนอกเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เนื้อด้านในอมชมพู
5. ดัน (Done) : ย่างแบบให้เนื้อสุกทั่วถึงกัน แต่ยังคงหลงเหลือเนื้อสีชมพูเล็กน้อย
6. เวล ดัน (Well Done) : เนื้อสุกทั่วถึงกันทุกส่วน ไม่เหลือเนื้อส่วนที่เป็นสีชมพูอยู่เลย ลักษณะเนื้อที่ย่างแบบนี้จึงไม่ค่อยมีความฉ่ำของรสชาติเนื้อ
รู้จักเนื้อสเต็กส่วนต่างๆ การวัดคุณภาพและระดับความสุกกันไปแล้ว  ใครที่สั่งไม่ถูกที่นี้ก็สามารถสั่งสเต็กส่วนที่อยากได้ไม่ต้องกลัวหน้าแตกแล้วนะคะ ทิ้งท้ายอีกทีจำง่ายๆ คือ

- ถ้าชอบเนื้อนุ่มๆ ให้เลือกส่วนเนื้อสัน (ลอยน์)
- ยิ่งมีไขมันแทรกมาก เนื้อก็ยิ่งนุ่ม
- ถ้างบไม่มาก อาจจะได้เนื้อที่ไขมันน้อยหน่อย เช่น ส่วนท๊อปเบลด แต่ว่าถ้าเอาปรุงดีๆ ก็อร่อยเหมือนกันนะ
- ระดับความสุกของสเต็กที่ถือว่าดีที่สุดนั้นก็คือ แรร์ (Rare) หรือ มีเดียม แรร์ (Medium Rare) เพราะเราจะได้ลิ้มรสความชุ่มฉ่ำของเนื้อแบบเต็มที่
- แถมท้าย: การกินสเต็กนั้นควรกินกับน้ำเกรวี่ที่ใช้ราดสเต๊ก โดยไม่ควรเอาซอสพริกหรือซอสมะเขือเทศมาจิ้มสเต็กเพราะจะกลบรสชาติของเนื้ออร่อยๆ ไปเสียหมด! 
รู้จักวิธีการสั่งสเต็ก ระดับความสุกและเคล็ดลับการกินกันไปแล้ว ทีนี้อยากกินสเต็กแบบไหน หรือใครที่มีสเต็กจานโปรดอยู่แล้วมาแชร์กับวงในได้เลย!

อ้างอิง
- http://cooking.kapook.com/view93629.html
- http://hereilike.com/siam/hereilike/detail.aspx?cmsId=450&&cate=2&&posi=1
- http://supersteaks.lnwshop.com/article/
- http://insights.looloo.com/steaks-101-popular-steak-cuts/
- http://insights.looloo.com/steak-101-wagyu-beef/
- http://jaxairnews.jacksonville.com/entertainment/food-and-dining/2010-10-21/story/food-mom-and-pop-butcher-shops-says-success-depends
- http://travel.truelife.com/detail/1817758#sthash.gTNVaYr5.dpuf
- https://www.pinterest.com/pin/396739048397926704/
- http://www.misterbuffet.com/article_beef.asp


สูตรเด็ดทำ"หมูหวาน & หมูเค็ม"


สูตรหมูหวาน & หมูเค็ม

เครื่องปรุงหมูหวาน

1.เนื้อหมูสะโพก 1 กิโลกรัม
2.น้ำตาลปี๊บ 3 ขีด
3.เม็ดผักชี 1/2 ขีด
4.พริกไทยดำตรามือ 1/2 ขีด
5.รากผักชี 5 ราก
6.น้ำมันหอย 2 ทัพพี
7.ซีอี๊วดำ 1 ทัพพี

วิธีทำ

1.แล่เนื้อหมูให้เป็นแผ่นบาง ๆเลาะเส้นเอ็นพัง
ผืดออกให้เหลือแต่เนื้อล้วน ๆ

2.นำเม็ดผักชีไปผัดในกระทะให้แห้งกรอบ แล้วโขลกให้ละเอียด

3.ผสมเม็ดผักชีกับน้ำตาลปี๊บ รากผักชี พริกไทย
ดำ น้ำมันหอย ซีอิ๊วดำ ใส่เครื่องบดปั่นจนละ
เอียดจึงเทใส่กะละมัง

4.นำหมูที่แล่ไว้ใส่ลงไปคลุกกับเครื่องปรุงแล้วเคล้าให้ทั่ว หมักทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง

5.นำหมูที่หมักแล้วไปอบหรือตากแดดให้แห้งสนิท จึงเก็บใส่ถุงพลาสติกรอไว้

6.เวลาขายจึงนำหมูมาทอดน้ำมันให้สุกร้อน ๆ กินกับข้าวเหนียวนึ่งอร่อยมาก
_____________________________

สูตรหมูหวานๆ เค็มๆ

หมูหวานๆ เค็มๆ สูตรนี้ รสชาติจะไม่หวานจน
แสบไส้และไม่เค็มจนสุดโต่ง

หมูหวานเค็ม
ส่วนผสม
หมูสามชั้น 500 กรัม
น้ำปลาแท้ ตราปลาหมึก 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ (หวาน) 3 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 20 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 20 กรัม
น้ำเปล่า

วิธีทำ
1. ล้างหมูสามชั้นให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นพอคำ นำหมูสามชั้นใส่ในหม้อ เติมน้ำเปล่า จนท่วม
หมูสามชั้น ตั้งไฟอ่อน

2. ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำปลาแท้ ซีอิ๊วขาวและซีอิ๊ว
ดำ(หวาน) เคี่ยวต่อไปเรื่อย ๆจนน้ำงวด จึงใส่
่หอมแดง คนให้เข้ากัน เคี่ยวต่อจนน้ำเริ่มแห้ง ปิดไฟตักใส่จาน จัดเสิร์ฟ พร้อมข้าวเหนียว
_____________________________
สูตรหมูเค็ม

เครื่องปรุงหมูเค็ม

เนื้อหมูสามชั้น 500 กรัม (ประมาณ 3 เส้น)
ซีอิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ
ผงปรุงรส 1 ช้อนชา
น้ำมันสำหรับทอด

วิธีทำหมูทอดเค็ม

- ใช้แหนบดึงขนที่ยังหลงเหลืออยู่บนหนัง
หมูออกให้หมด นำไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วสับ
หมูเป็นชิ้นๆ ขนาดพอคำ

- นำหมูไปหมักกับซีอิ้วขาวและผงปรุงรสทิ้ง
ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง

- ตั้งกะทะใส่่น้ำมันลงไป ใช้ไฟกลางพอน้ำมัน
ร้อน ใส่หมูลงไปทอด จากนั้นปรับไฟให้อ่อน

- ทอดหมูไปเรื่อยๆ จนหมูสุกและมีสีเหลือง ใช้พับพีโปร่งตักหมูขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน จัดใส่จานทานคู่กับน้ำพริกหนุ่มและข้าวเหนียวร้อนๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียวค่ะ
_____________________________
สูตรวิธีการทำหมูเค็มแดดเดียว

ส่วนผสม

1.หมูสันใน 1 กิโลกรัม
2.น้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ
3.เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำปลา 1/4 ถ้วย

วิธีทำ

1. ล้างเนื้อหมูให้สะอาด ซับน้ำให้แห้ง หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ หรือหั่นเป็นเส้น

2. เคล้าเนื้อหมูกับเกลือ น้ำปลา น้ำตาลให้ทั่ว หมักไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง

3. เรียงเนื้อหมูลงในถาด ทิ้งไว้พอหมาด นำมาเรียงบนตะแกรง ผึ่งแดดจัด ๆ สัก 1 แดดพอแห้งทั้ง 2 ด้าน

4. เมื่อจะรับประทาน นำหมูเค็มมาทอดใน
น้ำมันร้อน ๆ ไฟกลาง ให้สุกหอม ตักขึ้นให้
สะเด็ดน้ำมัน

อีกหนึ่งเมนูที่น่าลองทำทาน "ไข่หิน หรือ ทอดมันห่อไข่ต้ม"


ไข่หิน หรือ ทอดมันห่อไข่ต้ม

ส่วนผสม
- เนื้อปลากรายขูด 200 กรัม
- น้ำปลา 1 ½ ช้อนชา
- น้ำพริกแกง 1 ช้อนโต๊ะ
- ใบมะกรูดซอย 1 ใบ
- ไข่เป็ดต้มสุก ปอกเปลือก 3 ฟอง
- น้ำมันพืชสำหรับทอด

วิธีทำ
1. โขลกเนื้อปลากรายขูดกับน้ำปลาให้เหนียว ใส่น้ำพริกแกงลงไปผสม ใส่ใบมะกรูดซอย คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปห่อไข่เป็ดต้มสุกทุกฟองให้มิด

2. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟพอร้อน จากนั้นใส่ไข่ลงทอดจนสุกเหลือง ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำมัน เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้ม

อ่านแล้วจะรู้.....รู้แล้วจะอึ้ง!!!!!! คุณประโยชน์ครอบจักรวาล.....ของฟักข้าวที่ต้องหามาทาน



วันนี้มีสรรพคุณเล็กๆน้อยๆของฟักข้าวมาฝากสมาชิกกันนะ แล้วสมาชิกรู้หรือไม่ว่า ฟักข้าวมีสรรพคุณยังไงบ้าง บางคนอาจจะยังไม่เคยเห็นหรือไม่ก็เคยเห็นแต่คง
คิดว่าคงทานไม้ได้ แต่ที่จริงแล้วฟักข้าวนั้นสามารถทานได้ทั้งยอดอ่อนและผล และยังมีสรรพคุณที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย และสามารถนำผลฟักข้าวไปทำเป็นน้ำเอามารับประทานได้อีกด้วย ว๊าวว ! มีหลากหลายสรรพคุณแบบนี้ เราไปดูกันเลย



สรรพคุณฟักข้าว



1.ผลอ่อนและยอดอ่อน สามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวานได้อีกด้วย


2.เมล็ดยังสามารถช่วยบำรุงปอด และช่วยแก้ฝีในปอดได้

3.ใบฟักข้าวมีรสขมและเย็น มีสรรพคุณช่วยแก้ไข้ตัวร้อนได้

4.รากสามารถช่วยถอนพิษไข้ได้

5.รากของช่วยขับเสมหะ

6.เมล็ดจะช่วยแก้ท่อน้ำดีอุดตันได้

7.เมล็ดช่วยขับปัสสาวะ

8.ฟักข้าว สรรพคุณของใบช่วยแก้ริดสีดวงได้

9.ใบนำมาตำใช้พอกแก้อาการปวดหลังได้

10.ใบสามารถช่วยแก้กระดูกเดาะ

11.รากของฟักข้าวช่วยแก้เขาข้อ อาการปวดตามข้อ

12.เมล็ดแก่นำมาบดให้แห้ง ผสมน้ำมันหรือน้ำส้มสายชูเล็กน้อย นำมาใช้ทาบริเวณที่มีอาการอักเสบ อาการบวม จะช่วยรักษาอาการได้ และยังช่วยรักษากลากเกลื้อน โรคผิวหนัง ผดผื่นคันต่างๆ อาการฟกช้ำได้อีกด้วย

13.รากใช้ต้มดื่มช่วยถอนพิศทั้งปวง

14.ฟักข้าวสรรพคุณทางยา ใบช่วยถอนพิษอักเสบ

15.ใบช่วยแก้พิษ แก้ฝี

16.ใบช่วยแก้ฝีมะม่วง

17.ฟักข้าวสรรพคุณ ใบช่วยแก้หูด

18.เมล็ดฟักข้าว สามารถนำมาใช้แทนเมล็ดแสลงใจได้ (โกฐละกลิ้ง)  เห็นมั้ยล่ะหลากหลายสรรพคุณแบบนี้รีบหามาปลูกไว้ที่บ้านกันเลยนะ

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ร้านอาหาร "ทุ่งนาปลาเผา" ริมถนนสายกาญจนบุรี-สุพรรณบุรี กับเมนูเด็ด"ปลาช่อนเผาอบฟาง"

าไปร้านอาหาร "ทุ่งนาปลาเผา" ริมถนนสายกาญจนบุรี-สุพรรณบุรี ต.พนมทวน อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบายท่ามกลางทุ่งนา


มี ร.ต.ท.วิศนุ กลั่นบุศย์ เป็นเจ้าของร้าน เล่าให้ฟังว่า ชอบทำอาหารจึงมาเปิดร้านอาหารติดถนนเป็นทางผ่านไปยัง จ.กาญจนบุรี มีนักท่องเที่ยวมาแวะกินกันเป็นประจำ

สำหรับร้านมีอาหารหลายอย่าง แล้วแต่ลูกค้าจะสั่ง แต่ที่แนะนำครั้งนี้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ "ปลาช่อนเผา อบฟาง"


ต้อง เป็นปลาช่อนขนาด 1 กิโลกรัม นำมาล้างทำความสะอาดผ่าท้องเอาดีออก นำมาเสียบเหล็กนำไปใส่ถังเหล็กเอาฟางมาคลุมให้ทั่วถังเหล็ก จุดไฟเผาประมาณ 30 นาที


ถ้าไม่ถึงเวลาจะไม่เอาปลาออก เพราะปลาจะไม่สุก แต่ถ้านานเกินไปปลาจะเนื้อแห้งกินไม่อร่อย จากนั้นนำมาห่อด้วยกระดาษฟอยล์อีกครั้งเพื่อให้สุกอย่างทั่วถึงก็จะได้ปลา ช่อนเผาอบฟางรสเลิศ


ที่ร้านมีสูตรน้ำจิ้ม 2 ชนิด คือ น้ำจิ้มซีฟู้ด กับน้ำจิ้มน้ำพริกเผา มีถั่วฝักยาวต้ม มะเขือยาวต้ม บวบต้ม เป็น ผักเคียง


ปลาช่อนเผาอบฟางเป็นอาหารที่ทำง่ายรสชาติอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ร้านเปิดเวลา 10.00- 21.00 น.ทุกวัน สอบถามโทร.08-9902-1983

วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”



รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
        เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงอาหาร เรียกได้ว่าทำทุกอย่างที่เกี่ยวกับอาหารมาแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเชฟ เป็นคอลัมนิสต์เขียนบทความอาหาร, เป็นเจ้าของร้านอาหาร ตลอดจนถึงเป็นกรรมการผู้จัดการฯ สำนักพิมพ์ตำราอาหารชื่อดัง “น่าน หงษ์วิวัฒน์” คือบุคคลที่เรากำลังกล่าวถึง เขาคือทายาทคนที่สองของประธานสำนักพิมพ์ แสงแดด จำกัด ที่คร่ำหวอดในเรื่องอาหารและเป็นผู้ผลิตตำราอาหาร นิตยสารด้านอาหารและหนังสือสุขภาพ
      
       ด้วยความที่เขาต้องอยู่กับเรื่องอาหารการกินมาโดยตลอด เนื่องจากพ่อกับแม่เป็นคนบุกเบิกสำนักพิมพ์ดังกล่าวจึงทำให้เขาซึมซับและหลงรักการทำอาหารและการกินไปโดยไม่รู้ตัว แต่ทว่าจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาไม่ได้อยู่ตรงที่เขาได้มาเป็นเชฟแต่อย่างใด หากแต่อยู่ที่พ่อของเขาต้องเผชิญกับโรคร้ายป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ทำให้ครอบครัวที่เดิมชื่นชอบและมีความสุขกับการกินมาโดยตลอดต้องปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตและวิถีการรับประทานอาหารไปโดยสิ้นเชิง
      
       และนี่ไม่เพียงแต่จะทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้นเพียงเท่านั้น แต่การคุยครั้งนี้ยังจะได้แลกเปลี่ยนความรู้ในฐานะของเชฟที่มีประสบการณ์ในเรื่องของอาหารการกิน อีกทั้งยังเข้าใจในเรื่องของอาหารที่ส่งผลกับโรคร้ายที่ใครก็ไม่อยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเองอย่าง “โรคมะเร็ง” อีกด้วย
รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
       
           • ตั้งใจจะมีอาชีพเป็นเชฟมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
      
       จริงๆ ผมก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะมาทำอาหารเป็นอาชีพนะครับ ผมขอนิยามก่อนว่า ถ้าการทำอาหารเป็นอาชีพก็อาจจะพิจารณาตัวเองว่าเป็นเชฟได้ แต่จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้อยากเรียกตัวเองว่าเชฟเท่าไหร่ เพราะว่าเราทำหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับอาหาร
      
       โดยพื้นฐาน ผมเรียนมาทางวิศวกรรมศาสตร์ ก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะมาทางนี้ แต่ด้วยความที่ทางบ้านมีพื้นหลังเกี่ยวกับหนังสือสอนทำอาหาร ทำให้เรามีโอกาสได้สัมผัสวัตถุดิบเอย สัมผัสท้องถิ่นเอย เราได้สัมผัสวิถีชีวิตการกินของคนไทยในหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งเรายังมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศบ้างบางครั้ง ซึ่งการเดินทางไปต่างประเทศ เราจะลงไปสัมผัสว่าคนที่เขาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เขากินยังไง เขาอยู่ยังไง ไปเดินตลาดซึ่งจะแตกต่างจากที่เราไปเที่ยวตามปกติ แบบกินอาหารอื่นไม่ค่อยเก่ง ก็จะพกน้ำพริกไปด้วย น้ำปลา เครื่องปรุงต่างๆ ไปด้วย ซึ่งบ้านผมจะไม่ใช่ บ้านเราจะลงไปหาของที่เขานิยมกินกันเลย ไปเดินตลาดสดของประเทศนั้นๆ ไปดูวัตถุดิบที่เขาใช้กัน ซึ่งจะเป็นวิถีของเราแล้วเราก็ชอบ ผมก็จะซึมซับมาแบบนี้ ซึ่งบ้านผมจะทำอาหารกินเองที่บ้านกันเป็นประจำ ก็ไม่ได้คิดอยู่ดีว่าเราจะได้มาทำอาชีพนี้
      
       พอเรียนจบ ทำงาน บวกกับเรียนจบปริญญาโทเรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นก็ยังไม่ได้เริ่มมาทำอาหารนะครับ จะมีแต่ทำกินเอง ทำกินกับเพื่อนมากกว่า และที่เรียนปริญญาโท ก็ไม่ได้เกี่ยวกับการทำอาหารนะครับ เพราะเราเรียนการจัดการ เรียน MBA ก็ไม่ได้เกี่ยวอยู่ดี จนเรามีความฝันของเราว่าเราอยากทำธุรกิจของตัวเอง (ยิ้ม)
      
          • แล้วได้ทำตามที่ฝันไว้ไหมคะ ตอนนั้นเริ่มจากทำธุรกิจอะไร
      
       ผมเริ่มกลับมาทำธุรกิจหลังจากที่เรียนปริญญาโทแล้ว ผมเลยมาทำงานกับสำนักพิมพ์ที่บ้าน เป็นธุรกิจครอบครัว ซึ่งผมมีโครงการที่จะทำอาคารทำตึกใหม่ ช่วงนั้นประมาณสักสิบปีมาแล้วเห็นจะได้ มันจะมีเทรนด์ว่ามีร้านหนังสือต้องมีร้านกาแฟ เราก็เลยอยากมีบ้าง ผมเลยตั้งใจจะเปิดร้านกาแฟด้วย ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมาก ผมไปเรียนทำกาแฟ ไปเรียนเองเลย ไปเรียนคอร์สสั้นๆ ประมาณวันถึงสองวันที่ดุสิตธานี เขาก็สอนวิธีทำกาแฟ วิธีคิดต้นทุน ผมโอเคกับการเปิดร้านกาแฟแล้วก็เลยกลับมาขอที่บ้านว่าเราจะขอทำตรงนี้นะ ขอพื้นที่นะ ผมเลยได้เริ่มทำธุรกิจเกี่ยวอาหารก็คือร้านกาแฟเป็นครั้งแรกครับ (ยิ้ม)
      
       ตอนนั้นผมทำร้านกาแฟยังไม่ทันเสร็จเลย คุณพ่อก็มาถามว่าทำไมเปิดแค่ร้านกาแฟ เปิดร้านอาหารเลยสิเพราะเราทำตำราอาหารเป็นอาชีพอยู่แล้ว อีกอย่างคนของเราก็มี ก็สามารถช่วยได้ ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าเอาก็เอา ทำก็ได้ (หัวเราะ) ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรเยอะเลย บังเอิญว่าที่บ้านชอบทำอาหารประเภทสปาเกตตี พาสต้า แนวอาหารอิตาเลียน ผมรู้สึกว่ามันก็เข้ากันได้ดี จนธุรกิจเติบโตขึ้น ผมก็เพิ่มเมนู
      
       สุดท้าย ผมมานั่งคิดว่าถ้าเราไม่รู้เรื่องอาหารเลยหรือว่าเราทำไม่เป็น ได้แค่งูๆ ปลาๆ ทำตามสัญชาตญาณมั่วๆ ไป คงไม่ดีที่เราจะมาประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนต่อ ไปเรียนอาหารฝรั่งเศสที่เลอ กอร์ดอง เบลอ ที่ดุสิตธานี แต่เลือกเรียนเป็นช่วงวันเสาร์ เพราะผมต้องทำงานไปด้วย ใช้เวลานานประมาณ 1 ปีครึ่ง กว่าจะจบครบหลักสูตรของเขา
      
       นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเข้ามาอยู่ในแวดวงการทำอาหารมากขึ้นเรื่อยๆ พอเรียนจบก็เริ่มใช้กับร้านอาหารตัวเอง เริ่มเขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสารครัว เริ่มที่จะทำหนังสือตำราอาหาร ผมเริ่มทำอาหารทุกวันจนกลายเป็นทำอาหารเป็นอาชีพครับ (ยิ้ม)
      
          • เห็นว่านอกจากนี้แล้วเชฟน่านคลุกคลีกับอาหารเพื่อสุขภาพด้วย เพราะว่าต้องศึกษาเพื่อมาใช้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากคุณพ่อป่วยเป็นโรคมะเร็ง 
      
       ใช่ครับ (ยิ้ม) จริงๆ อาหารสุขภาพมาก่อนที่ผมจะเรียนทำอาหารอีกครับ ก่อนหน้านี้ที่บ้านผมจะเป็นประมาณว่าสำนักพิมพ์ลงพื้นที่ทำอะไร อย่างทำเรื่องกะปิ เราก็จะมีกะปิกินกัน มันจะมีที่มาของวัตถุดิบนั้นๆ เปลี่ยนหมุนเวียนกันไปในแต่ละเดือน แต่พอมาถึงจุดหนึ่งที่คุณพ่อไม่สบาย ซึ่งท่านป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่ยังโชคดีว่าตอนที่ตรวจพบ คุณพ่อไม่ได้เป็นระดับที่รุนแรง ก็เลยมีเวลาหาข้อมูลว่าเราจะรักษามะเร็งยังไง ซึ่งคุณพ่อจะมีเพื่อนๆ ที่เป็นคุณหมอค่อนข้างเยอะ ส่วนใหญ่ก็จะแนะนำไปตามความถนัดของคุณหมอในแต่ละด้าน เช่น ไปตัดออกเลยนะ ยังไม่รุนแรงตัดทิ้งไปเลย ซึ่งด้วยความที่คุณพ่อก็อยู่ในสายสาธารณสุขมา ท่านก็จะทราบว่ามันมีผลข้างเคียง มันมีผลต่อการใช้ชีวิตที่ไม่ปกติเหมือนเดิม ตรงนี้คุณพ่อผมแกก็เลยมาศึกษาการรักษามะเร็ง และสุดท้ายเราก็เลือกวิธีที่จะรักษาโดยใช้อาหารการกิน ใช้วิธีทางธรรมชาติ ใช้ระบบร่างกายของตัวเอง ก็เลยเริ่มปรับวิธีการกิน การใช้ชีวิตครับ
      
          • ต้องขอถามต่อว่าแล้วก่อนที่คุณพ่อจะเริ่มมาปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนการรับประทานอาหารเฉกเช่นทุกวันนี้ ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้คุณพ่อใช้ชีวิตอย่างไรคะ
      
       โห...ก่อนที่จะเริ่มปรับ คุณพ่อตัวอ้วนเลยครับ จะกินอยู่ตามใจ กินเนื้อสัตว์ กินของอร่อย วัตถุดิบไหนอร่อย กินหมด กินของแปลก มีของอร่อยที่ไหนก็ไปกิน มีความสุขกับการกินมากครับ แต่พอเกิดวิกฤตที่คุณพ่อไม่สบายขึ้น บ้านผมก็เลยเปลี่ยน จะมีคุณแม่ที่เป็นกำลังใจให้คุณพ่อด้วย ซึ่งเขาก็หันมาเปลี่ยนวิถีชีวิต วิถีการกินด้วยกัน ไม่ใช่ว่าคนหนึ่งกินเหมือนเดิม คนหนึ่งเปลี่ยนนะครับ เพราะมันจะทำใจลำบาก เรียกได้ว่าเปลี่ยนกันทั้งบ้านเลย เพราะพอคุณพ่อคุณแม่ทดลองแล้วว่าดี เขาก็จะให้ลูกๆ ค่อยๆ เปลี่ยนตาม (ยิ้ม)
      
       ที่บ้านผมจะกินข้าวด้วยกันเป็นประจำ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่อาทิตย์หนึ่ง ลูกๆ จะต้องหาเวลามาทานข้าวกับที่บ้าน เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นสิ่งที่ตีกรอบเราพอสมควรว่าคุณอยู่ที่อื่น อยู่ข้างนอกจะกินอะไรก็แล้วแต่ แต่พออยู่กับที่บ้านคุณจะได้กินของดีต่อสุขภาพ
      
          • เปลี่ยนในที่นี้ คือเปลี่ยนอย่างไรบ้างคะ
      
       ประการแรกที่เราทำเลยก็คือ ยกเลิกเนื้อสัตว์ ช่วงแรกๆ จะไม่มีเนื้อสัตว์เลย แม้กระทั่งปลาจะไม่มีเลย ประการที่สองเราต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลูกๆ พอเห็นพ่อกับแม่เป็นแบบอย่างก็อาจมีทำบ้าง ไม่ทำบ้าง แต่คนที่เคร่งครัดเลยจะเป็นคุณพ่อ เขาจะเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาโดยวิธีทางธรรมชาติ เริ่มมีอาหารฤทธิ์เย็น เริ่มมีเรื่องของธรรมชาติบำบัดเข้ามาเยอะขึ้น ซึ่งช่วงแรกๆ จะเป็นการรักษามะเร็งโดยปกติว่าตัดอาหารที่มีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็ง และกินอาหารที่ช่วยต่อต้านมะเร็งซึ่งหลักการจะมีอยู่แค่นี้เองครับ (ยิ้ม)
      
       จริงๆ การปรับการกินแรกๆ ไม่จำเป็นต้องอาหารรสจืดเสมอไป แต่ไม่ใช่ว่าอาหารรสจัดจะดีนะครับ ส่วนตัวผมก็จะไม่ได้ฮาร์ดคอร์มากเพราะเรายังไม่เป็นโรคเราก็จะกินตามปกติแต่ขอให้บริโภคผัก ผลไม้เป็นหลักให้มากกว่าครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็จะเป็นเนื้อสัตว์ เป็นแป้ง เป็นอย่างอื่นแทน ซึ่งถ้าทำได้ให้บริโภคผัก ผลไม้ครึ่งหนึ่งจากของที่เราบริโภคต่อวันได้ก็จะดีมาก ลดหวาน ลดเค็มลงบ้างประมาณนี้ครับ
รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
       
           • เห็นว่าคุณพ่อของเชฟน่านลงทุนศึกษาเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็งด้วยวิธีทางธรรมชาติเองเลยเหรอคะ
       
       ครับ...คุณพ่อจะศึกษาเรื่องพวกนี้เยอะมากในช่วงนั้นว่าสาเหตุของการเกิดมะเร็งคืออะไร คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังเหมือนกันนะครับว่ามะเร็งคือกระบวนการปกติที่ร่างกายจะมีเซลล์บางตัวที่เจริญเติบโตผิดปกติ แต่ร่างกายก็สามารถจัดการกับสิ่งเหล่านั้นได้เองโดยอัตโนมัติ แต่ว่าถ้าร่างกายมีสิ่งแปลกปลอมเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนร่างกายไม่สามารถรับได้หรือจัดการได้แล้วมันก็จะสะสม เพราะฉะนั้น คุณพ่อผมก็เลยคิดว่ามะเร็งก็น่าจะจัดการได้ครับ
      
       จัดการได้ในที่นี้ คือเรารู้แล้วว่ามะเร็งมีอยู่ในตัวเรา เราจะไม่ป้อนอาหารไม่ดีแล้วนะ เราจะเอาสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่มีสารต้านมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระเข้าไปจัดการ หรือไม่อย่างน้อยก็ควบคุมให้เขาอยู่กับที่ไม่เจริญเติบโตไปมากกว่านี้
      
       ช่วงแรกๆ พ่อผมเครียดมากครับ ตรวจค่านู่นค่านี่บ่อยมาก จนมาถึงวันหนึ่งที่พ่อผมคิดว่าการไปตรวจบ่อยๆ ทำให้เครียด มันไม่สบายใจ สุดท้ายแกก็เลยตัดสินใจเลิกตรวจทั้งหมด แล้วก็หันมาใช้ชีวิตให้มีระเบียบวินัยมากขึ้น ดูแลการกิน ไม่กินเนื้อสัตว์ กินผักผลไม้สดเป็นหลัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ซึ่งตอนนี้ผ่านมาสิบปีก็ยังทำอยู่ ยังไปเดินทุกเช้าวันละ 3-5 กิโลเมตรอยู่ อาหารตอนเช้าก็จะเป็นผักผลไม้อยู่ มื้อกลางวันก็จะเป็นมังสวิรัติ มื้อเย็นก็ผักผลไม้ มังสวิรัติ เนื้อสัตว์แทบจะน้อยมาก แต่ก็จะมีบ้างซึ่งที่บ้านผมจะเรียกว่า Cheating ก็คือแอบกินนิดๆ หน่อยๆ ตามสถานการณ์แต่เป็นการลองชิมให้รู้รสไม่ใช่กินจริงจัง แต่ส่วนใหญ่ 90 เปอร์เซ็นต์จะเป็นอาหารสุขภาพทั้งหมดครับ (ยิ้ม)
      
          • แบบนี้ที่คุณพ่อหันมาทานอาหารสุขภาพมีใช้ยาหรือไปพบแพทย์ร่วมด้วยไหมคะ
      
       ไม่มีเลย ธรรมชาติล้วนเลย คุณพ่อผมพอเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต ก็ไม่ได้ไปเช็ก ไม่ได้ไปหาหมออีกเลยครับ อีกอย่าง คุณพ่อผมไม่ทานวิตามินอะไรร่วมเลยนะครับ จะมีก็แค่เปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยนการกินล้วนๆ เลย
      
       จริงๆ ร่างกายมีความสามารถในการรักษาตัวเอง ทำไมแผลเราถึงหายเองได้ บางครั้งเราไม่ต้องใส่ยาด้วยซ้ำไป แต่ว่าบางทีเราพึ่งพายาเร็วไปหน่อยมันเลยทำให้กระบวนการรักษาของเรามันหายไป ไม่แข็งแรง ซึ่งคุณพ่อผมก็จะรู้สึกแบบนี้ เพราะฉะนั้น บ้านเราจะใช้วิธีการบำบัดทางธรรมชาติเข้าช่วยมากกว่าครับ (ยิ้ม)
      
          • บางคนอาจจะมองว่าเป็นถึงโรคมะเร็งเลย แล้วเราไม่ได้ไปรักษากับคุณหมอมันจะเป็นไปได้เหรอ
      
       เป็นไปได้ครับ (ตอบเร็ว) หนึ่งต้องคิดก่อนว่ามะเร็งเป็นสิ่งที่เราสามารถจัดการมันได้ แล้วต้องเชื่อให้ได้ว่ามะเร็งเกิดจากอะไร ถ้าเราเชื่อว่ามะเร็งเกิดจากอาหาร เกิดจากการใช้ชีวิตของเรา หรือว่าเกิดจากสารพิษที่เรารับเข้าไป การตัดต้นตอด้วยการหยุดตัวกระตุ้นที่ทำให้มะเร็งเติบโตได้อย่างรวดเร็ว เดี๋ยวนี้มันจะมีอาหารจำพวกปิ้งย่าง อาหารทอดเยอะแยะมากมาย พวกสารที่ก่อให้เกิดเขม่า สารที่เกิดจากการเผาไหม้ทั้งหลาย หรือน้ำมันที่ทอดตัวดีเลย ซึ่งอาหารที่แปรรูปแบบนี้มันมีโอกาสที่จะก่อมะเร็งได้เยอะมาก ผมว่าถ้ามองด้วยสายตาเป็นธรรมแล้วมันก็ถูกต้องชัดเจนนะครับ อาหารที่อ้วนๆ ไขมันสูง อันนี้ถูกต้องชัดเจนว่ามันมีความเสี่ยง กินไปมากๆ มันจะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง อาจจะไม่ใช่แค่โรคมะเร็งอย่างเดียวด้วย โรคอื่นๆ ก็มีผลหมดไม่ว่าจะโรคความดัน, โรคเบาหวาน ฯลฯ มันมีโอกาสสูง
      
       เดี๋ยวนี้ผมมองว่าโรคมันร้ายหมดแหละ ไม่ว่าจะโรคมะเร็ง, เบาหวาน, หัวใจ ฯลฯ มันร้ายแรงทั้งหมด หรืออย่างสารเคมี ซึ่งสารเคมีอาจจะมีปนเปื้อนในอาหารแล้ว เป็นสารเคมีที่เราเอาเข้าร่างกายของตัวเอง เช่น บุหรี่ คุณสูบบุหรี่ทุกวัน คุณไม่เป็นมะเร็งปอดเนี่ยก็เป็นซูเปอร์แมนแล้วแหละครับ เพราะปอดเราอยู่ดีๆ ก็มีควันเข้าไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ มันก็ต้องพัง กินเหล้าก็เหมือนกัน ในเหล้ามีแอลกอฮอล์ ตับก็ต้องกรองแอลกอฮอล์ วันหนึ่งก็ต้องน็อก เหมือนเราเล่นคอมพิวเตอร์ เล่นมือถือนานๆ มันก็ต้องร้อน เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น มันก็ต้องลดต้นตอ ทุกอย่างทั้งเรื่องอาหารการกินและสิ่งแปลกปลอมที่เราจะเอาเข้าร่างกาย มันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรค พอเราตัดต้นตอแล้ว เราก็ต้องเชื่อว่าร่างกายสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ต้องกลับมาฟื้นฟูร่างกายอีกครั้งหนึ่ง ถามว่าทุกวันนี้เรากินของดีไหม ผมว่าน้อยคนที่จะกล้าพูดได้ว่าฉันกินอาหารสุขภาพ แล้วก็น้อยคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
      
       ถ้าจะถามอีกว่ามันสามารถรักษามะเร็งได้จริงไหม ตรงนี้ผมจะบอกว่ามันมีเคสที่รักษาได้เยอะ ถ้าเราไปดูพวกค่ายธรรมชาติบำบัดอย่างค่ายหมอเขียว มีเคสหนึ่งที่หนักมาก หนักจนโรงพยาบาลส่ายหัวแล้วว่าไม่สามารถรักษาได้ ไม่มีทางเลือกแล้ว เพราะไปมาหมดแล้วทุกที่ ทั้งหมอเข็ม หมอยา หมอผ่า หมอไสยศาสตร์ ก็เลยหันมาหาธรรมชาติ พอได้ลองเขาก็กลับดีขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายได้ โดยบางทีทางการแพทย์ก็ไม่สามารถอธิบายได้เลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นมันสามารถรักษาได้
      
       และถ้าถามอีกว่ามันสามารถรักษาได้ทุกเคสไหม ผมว่าก็คงจะไม่นะครับ เพราะปัจจัยของผู้ป่วยแตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าคุณเปลี่ยนแล้วจะรักษาได้ ตรงนี้มันต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแรงเดิม เรื่องของใจ มันเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันหลายอย่าง แต่ว่าถ้าถามผมในฐานะของคนที่ยังไม่เป็น แล้วเราเห็นคนที่เป็นเขาใช้ชีวิต ผมมีความเชื่อมากๆ เลยว่าธรรมชาติบำบัดรักษาโรคได้ ป้องกันโรคได้ จริงๆ ไม่ต้องรอถึงรักษาหรอกครับ เอาแค่ป้องกัน เราป้องกันก่อนที่จะเป็นได้ ท่ามกลางสภาวะโรคร้ายต่างๆ มากมาย เรากลัวอย่างเดียวไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าเรากลัวแต่เราไม่ลงมือทำ มันก็เป็นความเสี่ยงที่เราไม่สามารถจัดการกับมันได้ ถ้าเราทำแล้ว เช่นถ้าเราดูแลสุขภาพแล้ว เราออกกำลังกายแล้ว เรากินอาหารที่ดีแล้ว เราไม่เอาควันพิษ บุหรี่ แอลกอฮอล์ อาหารไขมันสูงเข้าไปในร่างกายแล้ว แล้วมันจะเป็น ก็ช่างมันเถอะ ผมว่าเราทำดีที่สุดในชีวิตแล้วแหละ ก็ต้องปล่อยมันเป็น แต่ผมมีความรู้สึกว่าอย่างน้อยเราก็ได้ทำให้กับตัวเองแล้ว (ยิ้ม)
      
          • แล้วหลังจากที่คุณพ่อปรับเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต ผลลัพธ์ที่ได้เป็นอย่างไรบ้างคะ
      
       ก็ยังใช้ชีวิตปกตินะครับ และสุดท้ายท่านก็ยอมรับว่าในตัวมีเชื้อมะเร็งอยู่ ผมว่าตรงนี้มันเป็นทางออกที่ยากสำหรับคนทั่วไปนะครับ เพราะเราต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ใช้มาตลอดเลยซึ่งบางคนใช้มานานมาก มันมีความเคยชินไปแล้วที่เราจะกินอาหารตามใจอยาก มันมีความเคยชินที่จะต้องใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ซึ่งคนที่จะมาใช้วิธีแบบพ่อผม ผมต้องยอมรับเลยว่าต้องมีวินัยมาก คุณต้องรู้ว่าการรักษาแบบนี้ไม่ใช่เหมือนการหาหมอที่จะรู้ว่ามันสิ้นสุดหรือจบตอนไหน แต่วิธีนี้มันต้องเปลี่ยนชีวิต พอเปลี่ยนแล้วคุณต้องรักชีวิตใหม่ให้ได้ ต้องแฮปปี้กับการกินผัก ผลไม้ไม่ใช่ฝืนทำ เพราะถ้าฝืนคุณก็จะทำมันไม่ได้ตลอด มันก็จะไม่มีคุณภาพ
      
       คุณพ่อผม เขายอมรับการใช้ชีวิตแบบนี้ได้ เขามีความสุขกับการกินแบบนี้ มีความสุขที่จะได้ Cheating ชิมอาหารอื่นๆ นิดๆ หน่อยๆ ตอนนี้คุณพ่อเขาทำโดยความสุข ไม่ได้ทำโดยการฝืน ผมเคยเจอเพื่อนที่เป็นโรคแบบนี้บางคน เขาไม่โอเคเลยกับการที่เขาต้องมากินผัก ผลไม้มากขึ้น เพราะฉะนั้น มันจึงเป็นวิธีการที่ค่อนข้างยาก แต่ผมพูดจริงๆ ว่าผลที่ได้มันจะทำให้เราห่างไกลจากโรค โรคที่ใครๆ ก็คิดว่ามันอันตรายมาก เป็นแล้วไม่มีโอกาสรอดหรือรอดน้อยมาก และที่สำคัญเลยคือเราได้ร่างกายที่แข็งแรง
      
       คุณพ่อผมเดินทุกวันวันละ 3-5 กิโลเมตร เดินมาสิบปีแล้วจะบอกว่าไม่แข็งแรงก็ไม่ใช่แล้ว อีกอย่างร่างกายก็เด็กลง ผอมลง ดูดีขึ้น อันนี้คือผลลัพธ์ที่ดีที่เห็นได้ชัดเจนเลย ทุกคนจะชมแกหมดว่าแกหนุ่มขึ้น แข็งแรงขึ้น ทุกวันนี้อายุ 68 ปีก็ยังเดินทางไปท่องเที่ยว เดินป่าอยู่เลยครับ ซึ่งผมว่ามันเป็นผลพลอยได้ที่ดีมากที่เราสามารถชนะโรคร้ายได้
รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
       
           • ในฐานะที่เป็นเชฟต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องอาหารมาเยอะ ถ้าจะพูดไปแล้วอาหารอะไรที่เหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งบ้างคะ
      
       ถ้าถามเรื่องอาหารตัวไหนจริงๆ แล้วผัก ผลไม้ดีมากๆ เพราะว่าผักผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง คือร่างกายเราปกติมันจะสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมาซึ่งอนุมูลอิสระจะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ก่อให้เกิดอะไรต่างๆ นานา เพราะฉะนั้น สารต้านอนุมูลอิสระก็จะไปจับอนุมูลอิสระในร่างกายทิ้งไป ทำให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ เพราะฉะนั้นถ้าถามผมผมว่าผักผลไม้ต่างๆ มีประโยชน์ บางอย่างกินสดก็ดี บางอย่างเอาไปผ่านกระบวนการความร้อนบ้างก็ดี แต่ไม่ควรจะเอาไปตุ๋นให้เปื่อยนานๆ คุณค่าจะหาย ถ้าเราต้องการกินผักลวกก็ลวกแป๊บเดียวเพื่อให้คุณค่าอาหารยังอยู่ แต่ถ้าเราต้มนานจนเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีเขียวขี้ม้าตุ่นคุณค่าก็จะหายไป
      
       ผักที่ถือว่าดีสำหรับมะเร็งเลยจะมีบร็อกโคลี ซึ่งผักตัวนี้ถูกวิจัยแล้วว่ามีสารซัลโฟราเฟน สามารถต้านมะเร็งได้สารพัดชนิดเลย มะเขือเทศก็ดี เป็นผักที่ผู้ชายที่กลัวมะเร็งต่อมลูกหมากต้องกิน นอกจากจะช่วยมะเร็งต่อมลูกหมากแล้วยังช่วยมะเร็งลำไส้ มะเร็งรังไข่อีกด้วย กระเทียมก็ช่วย แครอตก็ช่วย ซึ่งผักสีเหลือง สีส้มต่างๆ อย่างแครอตจะมีเบต้าแคโรทีน นอกจากนี้ก็มีเยอะแยะเลย เมืองไทยก็หากินง่าย ราคาไม่แพง
      
          • แบบนี้ต้องเลือกเป็นออแกนิกเลยหรือเปล่า
      
       จริงๆ ถ้าได้เป็นเกษตรอินทรีย์ผมว่าก็หรูแล้วนะ เกษตรอินทรีย์ก็หมายความว่าไม่ใช้ยาฆ่าแมลงในการปลูก ออแกนิกถ้าได้ก็ดีแต่ว่าถามผม ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องของผักแค่นั้น แต่มันเป็นเรื่องของการเตรียมที่ปลูก เรื่องของการเตรียมดินด้วย หายาก ลำบากชีวิต จริงๆ ผมว่าถ้าเราจะเริ่มง่ายๆ เราก็หาง่ายๆ ในราคาที่เราคิดว่าเราจะจ่ายได้เพื่อที่เราจะได้กินมันบ่อยๆ เพราะถ้าเราไปเลือกผักออแกนิกตั้งแต่แรก มันแพงอ่ะ กินไม่ไหว ซื้อไม่ไหว เราก็จะท้อใจ เราเอาที่หาง่ายๆ แล้วหากระบวนการทำความสะอาดให้เรารู้สึกมั่นใจดีกว่าเพราะผมเชื่อว่าถ้าเราทำเองสะอาดกว่าไปซื้อกินเห็นๆ ไม่ว่าจะได้วัตถุดิบจากไหนก็ตาม
      
          • แล้วอาหารอะไรที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งควรงดบ้างคะ
      
       อาหารที่มีการแปรรูปเยอะๆ ดูง่ายๆ เลย อาหารทอด อาหารปิ้งย่าง อาหารมัน ซึ่งส่วนใหญเขาจะให้กินที่ไขมันต่ำก็คือโปรตีนจากปลาหรือว่าไขมันที่มีประโยชน์ ซึ่งไขมันจากสัตว์มีทั้งไขมันดีและไขมันไม่ดี ไขมันไม่ดีก็คือคอเลสเตอรอล ไขมันดีก็จะมีในพวกน้ำมันปลาต่างๆ ซึ่งจะช่วยจับคอเลสเตอรอลทิ้งไป อย่างที่บ้านผมลูกๆ ที่ไม่มีปัญหาสุขภาพอะไร ผมก็จะให้เขากินปลา กินกุ้ง ส่วนเรื่องเนื้อหมู เนื้อไก่ก็จะลดให้น้อยลงครับ
      
          • ในส่วนนี้เชฟน่านได้เข้าไปคิดเมนูให้คุณพ่อบ้างไหมคะ
      
       ก็มีบ้างนะครับ ส่วนใหญ่ตอนนี้ที่บ้านจะกินพวกสลัดผักสด ผมก็จะมีทำน้ำสลัดบ้าง ทำสลัดที่ใส่อาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ส่วนเมนูอื่นก็มีเป็นพวกยำต่างๆ ครับ หลักการที่ผมบอกก็จะไม่มีเนื้อสัตว์
      
          • ตรงนี้เชฟน่านคอนเฟิร์มใช่ไหมคะว่าอาหารสามารถช่วยต้านโรคได้ ไม่เว้นแต่โรคมะเร็ง
      
       คอนเฟิร์มเลย (เสียงหนักแน่น) มั่นใจ มันมีผลวิจัยรับรองแล้วจริงๆ แต่มันไม่ได้เป็นการรักษาที่ 3 เดือน 4 เดือนจบ ผมเข้าใจนะเวลาคนที่เป็นมะเร็งถ้าผ่าตัดฉายแสง แล้วก็ให้คีโมหายแล้วเขาจะรู้สึกว่าเขาไม่เป็นมะเร็งแล้วแหละ เขาก็จะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม แล้วมันก็กลับมาเป็นอีก ผมว่าถ้าคนใช้กระบวนการทางการแพทย์ตัดออก ฉายแสง จัดการกับเซลล์มะเร็งเรียบร้อย ถ้าเขารักษาตัวเองโดยการไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ผัก ผลไม้ ออกกำลังกาย เขาจะมีอายุที่แข็งแรงยืนยาว แต่ถ้าเทียบกับอีกกรณีหนึ่งทำหมดแล้วไม่แพ้คีโมด้วย เก่งมาก แต่กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม ผมพูดจริงๆ ว่าไม่นานหรอกเขาก็จะกลับมาเป็นอีก เพราะว่าร่างกายมันไม่ได้รับการดูแล ข้างในเราก็เหมือนเดิม น่าสงสารนะ
      
       เราต้องคิดว่าร่างกายเราก็เป็นอวัยวะมีตับ มีปอด มีลำไส้ มีส่วนอื่นๆ ถ้าเขาทำงานหนักมากแล้ววันหนึ่งเขาพังแล้วเราไปตัดเขาทิ้งแต่พอตัดทิ้งเรากลับใช้เขาเหมือนเดิมแล้วเขาจะทำงานยังไง เขาก็ยังคงความอ่อนแอ คงความย่ำแย่ทรุดโทรมเหมือนเดิม แต่กระบวนการที่ผมพูดคือไปฟื้นฟูให้เขาแข็งแรงมากขึ้น
      
       ผมเคยอ่านเจอแล้วรู้สึกว่ามันใช่เลย ว่าร่างกายเรากินของพวกนี้เข้าไปทั้งไขมัน ทั้งนู่นนี่นั่น สารพิษ สารเคมีเข้าไป ถ้าเรานึกภาพว่าร่างกายเราเหมือนท่อลำเลียงที่จะเอาของเสียออกไปทิ้งทางอุจจาระ ปัสสาวะ ทางผิวหนังอะไรก็แล้วแต่มันไม่สามารถที่จะไปหมดได้ มันก็ต้องมีตกค้างบ้าง เหมือนท่อน้ำบ้านเรา มันเป็นที่มาของการดีท็อกซ์ มันเป็นที่มาของการล้างตับ การทำให้ของเสียออกไปได้ดีขึ้นกว่าเดิมเลยเราต้องกินอาหารที่มีกากใย กากใยจะช่วยจับ ช่วยดึง ช่วยขับถ่าย ซึ่งผมอ่านแล้วผมเห็นภาพและคิดว่ามันจริงว่าถ้าเราไม่มีตัวช่วยพวกนี้เลย เรากินแต่ของที่ไม่มีกากใย กินแต่เนื้อสัตว์ กินแต่ไขมัน กินแต่แป้งที่ไม่มีกากใยอาหารเลย แล้วมันจะมีตัวอะไรไปช่วยดึงของที่ตกค้างในร่างกายเราออกมา มันเลยเป็นตัวสนับสนุนกัน เรามีความจำเป็นจริงๆ นะที่จะต้องกินอาหารสุขภาพที่มันได้จากผักและผลไม้
      
          • แล้วส่วนตัวเชฟน่านดูแลสุขภาพตัวเองอย่างไรบ้าง
      
       ส่วนตัวผมพยายามออกกำลังกาย กินอาหารที่ดี กินไม่เยอะมาก ไม่กินจุบจิบ กินเป็นมื้อ ตอนเย็นจะไม่กินเยอะมาก กินผักผลไม้เยอะขึ้น แต่ก็ยังใช้ชีวิตปกตินะครับ ยังกินเนื้อสัตว์ ยังกินหมู ขาหมูก็ยังกิน แต่เราไม่ได้กินบ่อยและกินในปริมาณที่ไม่มาก บุฟเฟต์นี่แทบจะไม่แตะเลยครับ
      
          • อยากให้เชฟน่านฝากความรู้หรือคำแนะนำสำหรับคนที่ต้องดูแลผู้ป่วยมะเร็งหน่อยค่ะ 
      
       ขั้นต้นผมอยากให้กลับมารักษาสุขภาพง่ายๆ ด้วยตัวเราเองก่อน ถ้ามีผู้ใหญ่หรือว่าคนใกล้ชิดเป็นมะเร็งหรือเป็นโรคร้ายเราต้องดูแลเขาโดยเริ่มตั้งแต่เรื่องของปากท้อง อาหารการกิน การปรุงอาหารกินเองที่บ้านมีความสำคัญมาก ถามว่าต้องปรับขนาดไหนก็ต้องขึ้นอยู่กับระยะ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ช่วงแรกๆ เราอาจจะต้องปรับหนักหน่อย แต่ถ้าร่างกายเราฟื้นฟูแล้วเราก็อาจจะผ่อนคลายได้บ้าง แต่จริงๆ ยังไงก็ต้องมีวินัยอยู่ดี
      
       ผมเชื่อว่าสุขภาพดีอยู่ใกล้ตัว แต่มันก็ต้องอาศัยความตั้งใจ ความมีวินัย ความเข้าใจกับมันจริงๆ เราถึงจะสามารถทำมันได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานยั่งยืน เราไม่ต้องไปหาสุขภาพดีไกลบ้าน ไม่ต้องไปหาสุขภาพดีจากโรงพยาบาล สุขภาพเริ่มจากตัวเราเอง เราสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ไม่ต้องรอเป็นโรคหรอกครับ ผมเชื่อว่าถ้าเราปรับวิถีการกิน การใช้ชีวิตเราจะสามารถมีสุขภาพดีห่างไกลโรคได้ (ยิ้ม) 
      
          • ท้ายนี้ถ้ามีคนไม่เชื่อว่าแค่รับประทานอาหารที่ดีจะเปลี่ยนตัวเองได้จริงๆ ตรงนี้เชฟน่านจะว่าอย่างไรคะ
      
       ต้องลอง (ตอบเร็ว) ถ้าถามผมผมพิสูจน์มาแล้วเรามีความเชื่อแล้วว่าร่างกายเรารักษาตัวเองได้ เรามีความเชื่อว่าสิ่งที่เราบริโภคเข้าไปมันส่งผลนะกับร่างกายเรา ถ้าเราบริโภคของดีร่างกายเราก็จะดี ถ้าเราบริโภคของไม่ดีร่างกายเราก็จะแย่ตามสิ่งที่เราบริโภคเข้าไป อะไรดี อะไรไม่ดีดูยังไงตรงนี้ต้องเชื่อก่อนว่าขาหมูมันไม่ดี ถ้าบอกว่าเห็นแล้วมันก็ดีนิไม่เห็นจะไม่ดีตรงไหนก็คุยกันยาก ถ้าคุณกินขาหมูแล้วคุณรู้สึกอร่อยไม่เป็นไรแต่คุณรู้สึกผิดหรือเปล่าถ้ารู้สึกผิดก็โอเค แต่ถ้าเฉยๆ ว่ามันก็ดีว่าสุขภาพดีมันก็คุยกันยาก เราต้องมีความเชื่อที่ตรงกันก่อน ความคิดเห็นใกล้เคียงกันก่อนว่าอาหารดีคืออะไร อาหารไม่ดีคืออะไร แล้วเราค่อยมาคุยกันต่อว่าถ้าเราจะบาลานซ์ชีวิตเราต้องกินยังไงต่อ
      
       คนที่ถามว่ามันจะรักษาได้จริงไหมผมเฟิร์มว่าจริงแต่ระยะเวลามันไม่สามารถรักษาเหมือนการรักษาของแพทย์ปัจจุบันที่เป็นโรครักษา 3 เดือน 6 เดือนแล้วจะหายเลยแล้วกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม มันไม่ใช่ ต้องทำถาวร ถ้าทำได้แล้วอยู่กับชีวิตใหม่ได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี ผมเชื่อว่า โรคอะไรก็เอาชนะได้
      
       อาหารมีส่วนสำคัญกับชีวิตมากเพราะเรากินทุกวัน เช้ากิน กลางวันกิน เย็นกิน สังสรรค์เจอเพื่อนก็กิน เราอยู่กับการกินเยอะ โลกยุคใหม่มันมีเรื่องอุตสาหกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ ซึ่งใครทราบเรื่องอุตสาหกรรมก็จะเข้าใจว่าอาหารที่ผ่านกระบวนการสารอุตสาหกรรมมันมีสารเจือปน มันมีความร้อน มีการแปรรูปของอาหารมาก เราต้องยอมรับว่ามันจะมีเรื่องของสารเจือปน สารพิษที่เข้าไปร่างกายเราโดยที่เราไม่ทันได้ระวัง เรากินของนอกบ้านเราก็ไม่รู้ว่าสะอาดหรือไม่สะอาด ของทอดยิ่งอันตรายเลยแต่มันอร่อยเนอะผมเองก็ยังกินอยู่บางครั้ง อย่างปาท่องโก๋ทอดนานๆ ก็มีไขมันอิ่มตัวไม่ดีเยอะ ก่อมะเร็งเลย ส่วนใหญ่จะมีจากไขมันพืชแปรรูป พวกมาการีน พวกอะไรต่างๆ นานา ซึ่งมันอันตราย ถ้าเราปรับการใช้ชีวิตได้ผมว่ามันช่วยได้เยอะ
      
       ตรงนี้มันก็ขึ้นอยู่กับคนด้วยนะ ซึ่งบางคนที่เขาไม่เป็นโรคเขาก็อาจจะไม่รู้สึกว่าเขาจะต้องมาเปลี่ยนอะไร ต้องทำอะไรมากขนาดนั้น แต่ว่าคนที่เป็นโรคแล้วมันก็ไม่มีทางเลือกเพราะถ้าเราอยากจะสู้โรคได้ หายจากโรค แข็งแรงจากสิ่งที่เราเป็น ผมว่ามันก็ต้องสู้ มันขึ้นอยู่กับเราด้วยว่ามันจะช่วยเราได้มากน้อยแค่ไหน
รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
       
รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
       
        4 สูตรอาหารต้านมะเร็ง
รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
        1. น้ำพริกอ่อง
       ส่วนผสม
       พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 5 เม็ด
       เกลือสมุทร 1 1/2 ช้อนชา
       ตะไคร้ซอย 1 ต้น
       หอมแดงซอย 4 หัว
       หอมใหญ่ (หัวละ 130 กรัม) สับหยาบ 1/2 หัว
       กระเทียมไทยแกะเปลือก 9 กลีบ
       กะปิเจ 1 ช้อนชา
       ฟองเต้าหู้สดนึ่งหั่นละเอียด 100 กรัม
       มะเขือเทศสีดา (ลูกละ 25-30 กรัม) หั่นชิ้นเล็ก หรือมะเขือส้มสุกๆ 6 ลูก
       มะเขือเทศ (ลูกละ 80-90 กรัม) ลอกเปลือกออกหั่นชิ้นเล็ก 2 ลูก
       น้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ
       กระเทียมไทยแกะเปลือกสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำ 1 ถ้วย 
       ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
       น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
       ใบผักชีและมะเขือเทศหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมฉ่าน้ำมันสำหรับตกแต่ง
       ผักสดมี ผักกาดคอส แตงกวา ถั่วฝักยาว ถั่วพู ยอดกระถิน มะเขือชนิดต่างๆ ฯลฯ
      
       วิธีทำ
       - โขลกพริกแห้งกับเกลือ 1 ช้อนชาเข้าด้วยกันให้ละเอียด ใส่ตะไคร้ หอมแดง หอมใหญ่
       กระเทียม กะปิเจ โขลกต่อจนละเอียดเข้ากันดี ใส่ฟองเต้าหู้สด โขลกให้เข้ากัน ตามด้วย
       มะเขือเทศสีดา และมะเขือเทศ โขลกเบาๆ พอเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พักไว้
       - ตั้งกระทะน้ำมันมะกอกบนไฟกลาง ใส่กระเทียมลงเจียวจนเหลืองหอม ตักน้ำพริกที่โขลก
       ลงผัดจนเข้ากันทั่วและมีกลิ่นหอม ใส่น้ำ ผัดพอเข้ากัน ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาล น้ำมะขาม
       เปียก และเกลือที่เหลือ ผัดพอทั่ว ลดเป็นไฟอ่อน เคี่ยวนานประมาณ 15-20 นาที หรือพอ
       น้ำขลุกขลิก ชิมรสให้เปรี้ยว เค็ม หวาน
       - ตักใส่ถ้วย ตกแต่งด้วยใบผักชีและมะเขือเทศหั่นชิ้นสี่เหลี่ยมฉ่าน้ำมัน เสิร์ฟกับผักสด
       (6 คนรับประทาน)
      
       

รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
        2. เค้กแครอต
       ส่วนผสม
       แป้งสาลีโฮลวีต 1 1/4 ถ้วย
       ผงฟู 1/2 ช้อนชา
       เบกกิ้งโซดา 1/2 ช้อนชา
       เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
       อบเชยป่น 1/2 ช้อนชา
       ลูกจันทน์ป่น 1/4 ช้อนชา
       ลูกกระวานป่น 1/8 ช้อนชา
       แครอตออสเตรเลียขูดหยาบ 1 1/2 ถ้วย
       ไข่ไก่ (ฟองละ 65 กรัม) 2 ฟอง
       น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
       น้ำตาลทรายแดงร่อน 1/4 ถ้วย
       เนยกีละลาย 3/4 ถ้วย
       อัลมอนด์อบบุบละเอียด 1/4 ถ้วยพิมพ์สี่เหลี่ยม
       กว้าง 2 1/2 นิ้ว ยาว 4 1/2 นิ้ว
       สูง 2 นิ้ว ทาเนยสดชนิดจืดแล้วโรยแป้งสาลีด้านในบางๆ ให้ทั่ว
       

       วิธีทำ
       - อุ่นเตาอบที่อุณหภูมิ 150 องศาเซลเซียส พักไว้
       - ผสมแป้ง ผงฟู เบกกิ้งโซดา เกลือ อบเชย ลูกจันทน์ และลูกกระวาน เข้าด้วยกันในอ่างผสม ใส่แครอตขูด ผสมพอเข้ากัน เตรียมไว้
       - ตีไข่กับน้ำตาลทั้งสองชนิดด้วยเครื่องผสมอาหารโดยใช้หัวตีตะกร้อ ตีด้วยความเร็วสูงจนไข่กับน้ำตาลขึ้นฟู ค่อยๆใส่เนยทีละน้อยจนหมด ตีจนขึ้นฟูเป็นครีมข้น ปิดเครื่อง จากนั้นค่อยๆ ใส่แป้งที่ผสมแครอต ใส่อัลมอนด์ คนตะล่อมด้วยตะกร้อเบาๆ ให้เข้ากันทั่ว
       - เทส่วนผสมเค้กใส่ในพิมพ์ที่เตรียมไว้ประมาณ 3/4 ของพิมพ์ แล้วไล่อากาศในเนื้อเค้กโดยยกพิมพ์เค้กเคาะบนพื้นโต๊ะเบาๆ 2-3 ครั้ง แล้วนำเข้าเตาอบที่อุ่นไว้ ปรับอุณหภูมิเป็น 170 องศาเซลเซียส อบนาน 40-45 นาที หรือจนกระทั่งเค้กสุก ยกออกจากเตาอบ พักนาน 5-10 นาที จึงคว่ำเอาพิมพ์เค้กออก พักเค้กบนตะแกรงจนเย็น ตัดเค้กเป็นชิ้น ใส่จาน เสิร์ฟ
       (จำนวน 3 พิมพ์)

       
       

      
       

รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
        3. ถั่วลันเตาหวานผัดน้ำมันงา
       ส่วนผสม
       น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
       กระเทียมไทยกลีบใหญ่ 10 กลีบ
       ถั่วลันเตาหวาน (55 ฝัก)
       ดึงเส้นข้างออกลวก 200 กรัม
       น้ำ ถ้วย 1/2+1 ช้อนโต๊ะ
       น้ำมันหอยเจ 1 ช้อนโต๊ะ
       ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชา
       แป้งมัน 1 ช้อนชา
       เหล้าจีน 1 ช้อนชา
       น้ำมันงา 1 ช้อนชา
       งาขาวและงาดำคั่วบุบพอแตกอย่างละ 2 ช้อนชา
      
       วิธีทำ
       - ตั้งกระทะน้ำมันมะกอกบนไฟกลาง ใส่กระเทียมทั้งกลีบลงผัดจนสุกเหลือง ใส่ถั่วลันเตา
       ผัดพอทั่ว ตักใส่จาน เตรียมไว้
       - ทำน้ำราดโดยใส่น้ำ 1/2 ถ้วยลงในกระทะใบเดิม ใส่น้ำมันหอยเจ ซีอิ๊วขาว และน้ำตาล
       ผัดพอทั่ว ละลายแป้งมันกับน้ำที่เหลือใส่ ผัดจนแป้งสุกข้นใส จึงใส่เหล้าจีนและน้ำมันงาผัดพอทั่ว ปิดไฟ
       - ตักน้ำราดที่ทำราดบนถั่วแขกผัดที่เตรียมไว้ โรยงาขาวและงาดำคั่ว เสิร์ฟร้อนๆ
       (2 คนรับประทาน)
       
      
       

      
       

รักษามะเร็งด้วยอาหาร “เชฟน่าน หงษ์วิวัฒน์”
        4. ขนมจีนน้ำยา
       ส่วนผสม
       เห็ดฟางหั่นชิ้นเล็ก 15 ดอก
       เห็ดนางฟ้าฉีก 100 กรัม
       กะทิ 2 ถ้วย 
       เกลือสมุทร 2 1/2 ช้อนชา
       ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา หัวกะทิ ถ้วย
       ใบมะกรูด 2 ใบ
       ขนมจีนเส้นข้าวกล้อง 1 กิโลกรัม
       พริกขี้หนูแห้งทอด 5 เม็ด
       ยอดแมงลักสำหรับตกแต่ง
       ผักสดมีถั่วงอกเพาะธรรมชาติ ถั่วฝักยาวซอย ถั่วพูซอย หัวปลีซอย ใบแมงลัก มะระจีนหั่นบาง ฯลฯ
      
       เครื่องแกง
       พริกแห้งเม็ดใหญ่
       แกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 5 เม็ด
       หอมแดงซอย 5 หัว
       กระเทียมไทยแกะเปลือกหั่น 10 กลีบ
       ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 1/2 ช้อนชา
       กระชายหั่น 1/2 ถ้วย
       ข่าแก่หั่น 3-5 แว่น
       ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
       น้ำ 2 ถ้วย
       กะทิ 1 ถ้วย
       เต้าหู้ยี้สีแดง 1 ช้อนโต๊ะ
      
       วิธีทำ
       - ทำน้ำพริกแกงโดยต้มเครื่องแกงทั้งหมดในหม้อน้ำจนสุกนุ่ม (ยกเว้นเต้าหู้ยี้) ตักเฉพาะ
       เครื่องแกงที่ต้มไปปั่นกับกะทิและเต้าหู้ยี้สีแดงเข้าด้วยกันให้ละเอียด เทใส่หม้อ จากนั้นปั่น
       เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า กับกะทิ 1 ถ้วย ให้ละเอียด เทใส่ในหม้อน้ำพริกแกง
       - ยกหม้อน้ำยาตั้งบนไฟกลาง คนให้ทั่ว ใส่กะทิที่เหลือ หมั่นคนจนเดือด ปรุงรสด้วยเกลือ
       ซีอิ๊วขาว ใส่หัวกะทิ ฉีกใบมะกรูดใส่ ชิมรสให้เค็มอ่อนๆ หวานกะทิและเห็ด ปิดไฟ
       - จัดขนมจีนใส่ชาม ตักน้ำยาใส่ ใส่พริกขี้หนูแห้งทอด ตกแต่งด้วยยอดแมงลัก เสิร์ฟกับผักสด
       (6 คนรับประทาน) เรื่อง : วรัญญา งามขำ
       ภาพ : พลภัทร วรรณดี
       ขอขอบคุณตำราอาหารต้านมะเร็งจากสำนักพิมพ์ แสงแดด จำกัด