วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2558

ความจริงเรื่องทุเรียน ที่คนไทยถูกหลอก…

คนไทยถูกหลอก ว่ากินทุเรียนแล้วอ้วน กินทุเรียนแล้วเป็นเบาหวาน
แต่มีงานวิจัยทั้งไทยและเมืองนอกรองรับว่า ทุเรียนคือราชาแห่งผลไม้
เพียงแต่รัฐบาลไม่มีเงินงบประมาณไปโฆษณาแข่งกับแอปเปิ้ลหรือผลไม้นอก
สรรพคุณของทุเรียน
1. ช่วยฆ่าเชื้อ จากกำมะถันในเนื้อเป็นเสมือนยาปฏิชีวนะอ่อน ๆ ถ่ายพยาธิ
2. ช่วยเผาผลาญ จากความร้อนของกำมะถัน จึงทำให้ลดความอ้วน
3. ช่วยระบาย จากกากที่เป็นเส้นใยยุ่บยั่บในเนื้อช่วยขัดล้างลำไส้
4.มีสารแอนตี้ออกซเด้นซ์และวิตามินอีสูง จะช่วยป้องกันและรักษา มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม ลดไขมัน ลดคลอเรสเตอรอล ต้านความแก่
วิธีกินทุเรียน
เริ่มกินหลังตื่นนอนตอนเช้า ช่วงเวลา 5.00-7.00 น
กินครั้งละไม่เกิน 2-3 พู เท่ากับ 4-6 เม็ด หรือเกือบครึ่งลูกกินได้ทุกพันธุ์
หลังจากนั้นก็ให้ ดื่มน้ำอุ่นตาม คำแนะนำควร งดอาหารเช้าของวันนั้นๆ
และกินติดต่อกันเป็นเวลา 2 วัน เพราะความร้อนจากสารกำมะถันและเส้นใยในทุเรียนจะไปชวยชะล้างสิ่งสกปรกต่างๆภายในลำไส้และยังช่วยให้ร่างกายสดชื่นอีกด้วย อาจกิน 2 พูแทนข้าวมื้อเย็นได้
—————————————
เครดิตภาพ@นิตยสารหมอชาวบ้าน , นิตยสารคู่สร้างคู่สม

ร้านครกไม้ไทยลาว แนะนำของหากินยากกัยเมนู"ลาบรังผึ้ง"



แกงผักหวานไข่มดแดง.
ร้านอาหารอีสานที่ร่ำลือกันว่า รสชาติแบบอีสานแท้ แบบว่าแซ่บ หลาย มีมากมาย ไปที่ไหนก็เจอ แต่ที่ขึ้นระดับ เป็นตำนานอาหารอีสานขนานแท้...สั่งจานไหน ก็อร่อยจานนั้น น่าจะมีอยู่ไม่กี่ร้าน
หลายคนที่ไปชิมมาแล้ว ยกนิ้วให้ร้านครกไม้ไทยลาว ในซอยลาดปลาเค้า 24 แขวงจรเข้บัว เขตลาดพร้าว...เป็นร้านหนึ่งในจำนวนนั้น
เมื่อไปชิมแล้ว ยังเจอว่า นอกจากเมนูมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งอาหารอีสาน อาหารไทยแล้ว ร้านนี้ยังมีเมนูแปลก อร่อย แบบหากินที่ร้านอื่นได้ยาก
การันตีด้วยคอลัมน์จากนักเขียนและนักชิม และรายการทีวีดังๆนับไม่ถ้วน
คุณธนา เสงี่ยมจิตต์.
หากมองไปที่ผนัง เจอภาพ อาจารย์หม่อม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ลุงหม่อม ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ นักชิม สุดยอดจอมยุทธ์...ก็คงต้องร้องอุทาน ร้านนี้เขาขึ้นระดับตำนาน...มานานจริงๆ
แม้ร้านจะเก่า บรรยากาศร้านโปร่งสบายๆ เจ้าของ คุณสุชาติและคุณลลนา ผาธรรม อัธยาศัยดี เป็นกันเอง ช่วยให้อาหารแต่ละจาน...อร่อยเพิ่มขึ้น
เมนูที่แนะนำ แกงผักหวานไข่มดแดง หมกหัวปลี ลาบรังผึ้ง
คุณธนา เสงี่ยมจิตต์ ผู้จัดการร้าน คุยให้ฟังว่า ร้านครกไม้ไทยลาว มีไข่มดแดง รังผึ้ง แมลงแปลกจิโป่ม แมงกระชอน รถด่วน ดักแด้ แมงดาไข่ แมงสะดิ้ง จักจั่น ตั๊กแตน
“เมนูเหล่านี้ร้านอื่นอาจจะมี แต่อาจมีไม่ตลอด” คุณธนาคุย “แต่ร้านเรามีแทบไม่ขาด มีการสต๊อกฟรีซเอาไว้ โอกาสพลา
หมกหัวปลี.
จานเด็ดของร้าน...หมกหัวปลี
เผื่อใครคิดว่าฝีมือดี อยากทำกินเอง เจ้าของร้านก็เต็มใจแนะนำ...เครื่องปรุง มีตะไคร้ พริกแดง หอมหัวแดง กระเทียม กะปิ กะทิสด ไก่บด หัวปลี ไข่ไก่ เกลือ
วิธีปรุงหมกหัวปลี เอาพริกแดง, หอมหัวแดง, กระเทียมมาบดใส่ กะปิ, ตะไคร้สับ, เนื้อไก่บดใส่กะทิ, ไข่ไก่ และเกลือ ใช้ไม้พายนวดให้เข้ากันประมาณครึ่งชั่วโมงห่อด้วยใบตองเสร็จแล้วนำไปนึ่งราว 1 ชั่วโมง
กลิ่นหอมจากกะทิสดก็ลอยมาแตะจมูก ท้าทายให้ลองชิม
ยกใส่จานแกะใบตองตักใส่ปาก ความมัน ของกะทิและเนื้อของหัวปลีช่างเข้ากันจริงๆอร่อยลิ้นเหมือนกินเล่น ถือ...เป็นเมนูเรียกน้ำย่อย
หัวปลีให้คุณค่าอาหาร ไม่แพ้กล้วยสุก แต่มีแคลอรีน้อยกว่า 6 เท่า ขณะที่ให้แคลเซียมสูงกว่ากล้วย 4 เท่า มีโปรตีนมากกว่าเล็กน้อย มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี และเบต้า-แคโรทีน
อาหารแปลกจานต่อมา แกงผักหวานไข่มดแดง นี่เป็นเมนูเด็ดที่ลูกค้าแทบทุกโต๊ะต้องสั่ง
รสชาติกลมกล่อม หอมปลาแห้งมากๆ ผักหวานและไข่มดแดง แม่ครัวมือเติบใส่ให้แบบไม่ยั้ง
กรมอนามัยให้ข้อมูลว่า ไข่มดแดงมีคุณค่าทางโภชนาการ มีโปรตีนสูง มีไขมัน และแคลอรีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับไข่ไก่ ไข่มดแดงมีไขมันเพียง 2.6 กรัม ในขณะที่ไข่ไก่มีไขมันมากถึง 11.7 กรัม
ลาบรังผึ้ง ไม่แค่ชื่อใหม่หู เจ้าของร้านคุยว่า เมนูนี้เพิ่งทำออกมาได้ห้าหกเดือน เสียงตอบรับจากลูกค้าอึงมี่ ทีแรกเริ่มลอง ด้วยเมนูหมกรังผึ้ง เอารังผึ้งอ่อนไปย่าง เวลาทานก็จิ้มกับเกลือ เหมาะสำหรับคอเหล้าเบียร์
นอกจากหมกรังผึ้งแล้ว เอาไปทำอะไรได้อีก ลองทำลาบรังผึ้งดู ลูกค้าก็ชอบกันอีก
เหมือนทุกเมนู ร้านนี้ไม่หวงวิชา มีทีเด็ดเคล็ดลับอะไร ปล่อยให้หมด
เครื่องปรุงที่ใช้ มีข้าวคั่ว พริกป่น น้ำมะขามเปียก น้ำซุป มะนาว น้ำปลา วิธีปรุงลาบรังผึ้ง นำข้าวคั่ว, พริกป่น (เอามาคั่วก่อนแล้วค่อยบด) ใส่น้ำมะนาว, น้ำปลา, น้ำมะขามเปียก รวมเป็นน้ำราดรังผึ้ง รังผึ้งนำไปย่างไฟด้วยเตาถ่านใช้ไฟอ่อนๆประมาณครึ่งชั่วโมง ราดด้วยน้ำปรุง...เป็นอันเสร็จ
รสชาติหวาน มัน กัดเข้าไปกลิ่นหอมของน้ำผึ้งลอยออกมา อร่อยแปลกลิ้น แบบไม่น่าเชื่อ
ลาบรังผึ้ง.
ผู้จัดการร้านบอกว่า รังผึ้งส่วนใหญ่ได้มาจากอีสาน หลักๆได้จากอุบลฯ เจ้าประจำคัดรังผึ้งอ่อนสีขาวส่งมาให้ รังผึ้งอ่อนรสชาติหวานมัน แต่ถ้าเป็นรังผึ้งแก่จะมีรสฝาด“จริงๆแล้ว กินได้ทั้งรังสดๆ” คุณธนาว่า “แต่ถ้าจะกินรังผึ้งย่าง เวลาย่างก็ใส่ใบตอง”ทั้งแนะนำ ทั้งคุยย้ำยั่วต่อมน้ำลายกันมาถึงขนาดนี้ คงมีคนน้ำลายสอ อยากไปลองชิม...หลายคน
บรรยากาศร้าน โปร่งสบายๆ.
การเดินทางมาร้านนี้ ถ้ามาจากรัชโยธิน มุ่งหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตรงมาถึงสี่แยกไฟแดงให้เลี้ยวขวาเข้าถนนเกษตร-นวมินทร์ ตรงขึ้นสะพานข้ามคลองไปแล้วเลี้ยวขวาตรงไฟแดงเข้าทางลัดไปสี่แยกวังหิน ตรงเข้ามาประมาณ 100 เมตร เลี้ยวเข้าซอยลาดปลาเค้า 24 จากปากซอยเข้าไปประมาณ 100 เมตร ร้านครกไม้ไทยลาวจะอยู่ทางด้านขวามือ ไม่ต้องกลัวหลง ร้านดังขนาดนี้ เขามีป้ายบอกทางตั้งแต่ปากซอย
ร้านครกไม้ไทยลาว เปิดทุกวัน ติดต่อ 20 ปี ตั้งแต่เวลา 11.00-23.00 น.
สงสัยเส้นทาง ลองโทร. 0-2570-6234-5 มือถือ 08-9135-1230 กันไว้เผื่อผิดหวัง
กระซิบดังๆให้ฟังอยากมากินของแปลก รสสะใจ ร้านครกไม้ไทยลาว ให้ชุ่มปาก วันศุกร์อาทิตย์ โทร.จองโต๊ะไว้ก่อน ไม่งั้นอาจอารมณ์เสีย เพราะรอนาน ด้วยลูกค้ามากันมากมายเหลือ หลายจริงๆ.
การเดินทางมาร้านนี้
ที่มา ไทยรัฐ

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

ข้าวแกงกะหรี่เขื่อน เทรนด์อาหารใหม่กำลังฮิตบนโลกโซเชียลในญี่ปุ่น

หลายคนที่หลงไหลในโลกแห่งอาหาร นอกจากเรื่องรสชาติที่อร่อยของอาหารแล้ว บางคนยังสนุกกับการตกแต่งจานอาหารด้วย ต่างคนก็ต่างมีไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ในการตกแต่งจนบางทีก็รู้สึกสนุกราวกับว่าได้เล่นของเล่นอย่างไรอย่างนั้น ล่าสุดที่ญี่ปุ่นก็มีเทรนด์ใหม่ฟีเวอร์มาแรงเกิดขึ้น กับการทำข้าวแกงกะหรี่เขื่อนนั่นเอง
ダムカレー (damu kare) หรือแปลตรงตัวว่า แกงกะหรี่เขื่อน นั้นกำลังเป็นเทรนใหม่บนโลกโซเชียลในญี่ปุ่นอย่างกว้างขวาง ซึ่งมันก็เป็นข้าวแกงกะหรี่ธรรมดานี่แหละ ไม่ได้มีรสชาติอุมามิโออิชิอุไม่อะไรขนาดนั้น เพียงแต่ว่านำมาตกแต่งทำเป็นเขื่อนเท่านั้นเอง โดยก่อข้าวสาวทำเป็นเขื่อนกั้นน้ำแกงกะหรี่ไว้ ต่างคนต่างก็ดีไซน์ตามสไตล์ของตัวเองแล้วแชร์ลงบนโลกทวีตเตอร์กันยกใหญ่ทีเดียว จริงๆ แล้วเจ้าข้าวแกงกะหรี่เขื่อนมันก็มีข้อดีของมันก็คือแกงมันจะไม่ไหลไปปนกับพวกเครื่องเคียงนั่นเอง ใครสนใจก็ไปทำเล่นกันได้ แต่ผู้เขียนขอเลือกทำแบบธรรมดาๆ แต่อร่อยๆ เอาไว้ทานเองดีกว่าจ๊ะ








วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

สูตรขนม บานาน่าห่มชีส ซอสคาราเมล อร่อยหวานมันถูกใจคนรักกล้วย








คนรักกล้วยบอกเลยว่าห้ามพลาด! กับเมนู 'บานาน่าห่มชีส ซอสคาราเมล' ที่เนื้อขนมปังกรอบนอก หุ้มกล้วยและชีสนุ่มเยิ้มหอมมัน ราดทับด้วยคาราเมล เรียกได้ว่าเป็นเมนูทำง่ายเหมือนปอกกล้วย และอร่อยจนทำให้คนรักกล้วยต้องเคลิ้มทีเดียวล่ะค่ะ ไอเดียเมนูนี้มาจากกระทู้ของคุณหมูน้อย อ้วน กลม อารมณ์ดี แห่งพันทิป ที่ใจดีแชร์สูตรให้เราได้ทำตาม จะทำง่ายแค่ไหนมาดูกันเลยค่า



วัตถุดิบ

- กล้วยหอม

- ขนมปัง

- ชีสแผ่น

- ซอสคาราเมล เป็นขวดสำเร็จตามห้างมีขาย

- เนยจืด





วิธีทำ




เริ่มจากการนำ ขนมปังมาทำให้แบนก่อน ถ้ามีไม้คลึงแป้งก็ใช้ไม้คลึงแป้งหรือใช้ขวดโหลใส่คุกกี้ทับให้แบนแทนได้ค่ะ






ได้ขนมปังที่แบนๆแล้วก็ เอาชีสวาง กล้วยวางเลยค่ะ ไม่แนะนำให้กล้วยหนามากไม่งั้นจะม้วนไม่ได้







ม้วนๆ พับขอบ ก็จะได้ตามภาพนี้ค่ะ







แล้วมาต่อด้วย ตั้งกระทะ ละลายเนย





เมื่อเนยละลาย ก็นำเจ้ากล้วยห่อชีสสที่เราม้วนไว้ ลงไปทอดเลยค่ะ






พลิกกลับด้าน ทอดไปเรื่อยๆ ให้ผิวด้านนอก เกรียมๆ กรอบๆ ตามนี้ค่ะ






เมื่อตักขึ้นมาก็หั่นแล้วจัดจานให้สวยงาม ราดคาราเมลและโรยน้ำตาลไอซิ่งอีกนิด ก็พร้อมอร่อยแล้วค่ะ ทำเสร็จแล้วอย่ารอช้า ต้องรีบทานก่อนที่ชีสจะเย็นค่ะ และที่สำคัญคือ กลิ่นหอมเตะจมูกซะขนาดนี้ อาจจะช้าหมดอดทานได้นะค้า






ขอบคุณข้อมูลจาก พันทิป, คุณหมูน้อย อ้วน กลม อารมณ์ดี FB: baanboum, IG: baanboum

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

สารพัดประโยชน์ของเห็ดนานาชนิด

เห็ด เป็นแหล่งอาหารโปรตีนจากธรรมชาติ ที่มีวิวัฒนาการมาจากการประสานเส้นใยจำนวนมากของเชื้อราชั้นสูง และถึงแม้เห็ดจะขาดกรดอะมิโนบางตัวไปบ้าง แต่ในเรื่องของรสชาติและเนื้อสัมผัสนั้น รับรองว่าเห็ดไม่เป็นรองใครในยุทธจักรอาหารอย่างแน่นอน ที่สำคัญเห็ดยังให้คุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน และความดันโลหิตสูง เป็นต้น

จุดเด่นของเห็ด

เห็ดจัดเป็นอาหารประเภทผักที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำ และยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เมื่อเทียบกับผักอีกหลายชนิด อีกทั้งยังมีรสชาติและกลิ่นที่ชวนรับประทาน ซึ่งรสชาติที่โดดเด่นนี้ มาจากการที่เห็ดมีกรดอะมิโนกลูตามิคเป็นองค์ประกอบ โดยกรดอะมิโนตัวนี้จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นประสาทการรับรู้รสอาหารของลิ้นให้ ไวกว่าปกติ และทำให้มีรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์

นอกจากนี้เห็ดยังอุดมไปด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบีรวม (ไรโบฟลาวิน) และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ในส่วนของเกลือแร่ เห็ดจัดเป็นแหล่งเกลือแร่ที่สำคัญ โดยมีเกลือแร่ต่างๆ เช่น ซิลิเนียม ทำหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โปแตสเซียม ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ สมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ ลดการเกิดโรคความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ และอัมพาต ส่วนทองแดง ทำหน้าที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของธาตุเหล็ก

สรรพคุณของเห็ด

เห็ดมีองค์ประกอบของพฤกษเคมีที่ชื่อว่า “โพลีแซคคาไรด์”(Polysaccharide) จะทำงานร่วมกับแมคโครฟากจ์ (macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์คุ้มกันขนาดใหญ่ที่ออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อและจะไป จับกับโพลีแซคคาไรด์ที่บริเวณกระเพาะอาหาร และนำไปส่งยังเซลล์คุ้มกันตัวอื่นๆ โดยจะช่วยกระตุ้นวงจรการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เสริมและช่วยเพิ่มปริมาณและประสิทธิภาพของเซลล์คุ้มกันธรรมชาติ ให้ทำหน้าที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมถึงพวกไวรัสและแบคทีเรียอื่นๆ ด้วย เห็ดที่มีปริมาณสารโพลีแซคคาไรด์สูง คือ เห็ดหอมหรือเห็ดชิตาเกะ เห็ดนางรม เห็ดหูช้าง และเห็ดกระดุม เป็นต้น และเห็ดอื่นๆ ที่นิยมนำมารับประทาน ได้แก่ เห็ดหลินจือ เห็ดฟาง เห็ดหูหนู เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดโคน และเห็ดเข็มทอง เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เห็ดเป็นยาได้อีกด้วย ซึ่งสรรพคุณทางยาของเห็ดมีมากมาย เช่น ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ปอด ตับ และระบบไหลเวียนของโลหิต เนื่องจากชาวจีนจัดเห็ดเป็นยาเย็น เพราะมีสรรพคุณช่วยลดไข้ เพิ่มพลังชีวิต ดับร้อนใน แก้ช้ำใน บำรุงร่างกาย ลดระดับน้ำตาล และคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ลดความดัน ขับปัสสาวะ ช่วยให้หายหงุดหงิด บำรุงเซลล์ประสาท รักษาอาการอัลไซเมอร์ และที่สำคัญ คือ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

ประโยชน์ทางการแพทย์ของเห็ดชนิดต่างๆ

เห็ดหอม หรือเห็ดชิตาเกะ
เป็นยาอายุวัฒนะ เพราะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด อีกทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสและมะเร็งด้วย และมีกรดอะมิโนถึง 21 ชนิด มีวิตามิน บี 1 บี 2 สูง พอๆ กับยีสต์ มีวิตามินดีสูงช่วยบำรุงกระดูกและมีปริมาณโซเดียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยบำรุงกำลัง บรรเทาอาการไข้หวัด ชาวจีนยกให้เห็ดหอมเป็นอาหารต้นตำรับ “อมตะ”

เห็ดหูหนู

เป็นกลุ่มคาร์โบไฮเดรต สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้เม็ดเลือดขาวในผู้สูงอายุ ทำให้ภูมิต้านทานร่างกายดีขึ้น รวมทั้งช่วยรักษาโรคกระเพาะและริดสีดวง เห็ดหูหนูขาว ช่วยบำรุงปอดและไต

เห็ดหลินจือ
มีสารสำคัญ เบต้ากลูแคน ซึ่งมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง คนญี่ปุ่นมักใช้ควบคู่กับการรักษาโรคมะเร็งและโรคผู้สูงอายุ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง และโรคความดันโลหิตสูงปัจจุบันยังมีการนำไปเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์อีกด้วย เพราะมีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้อร้าย รวมทั้งกระตุ้นภูมิคุ้มกันไวรัส

เห็ดกระดุมหรือเห็ดแชมปิญอง
รูปร่างกลมมน คล้ายกระดุมที่มีขนาดใหญ่ ผิวเนื้อนวล มีให้เลือกทั้งแบบสดหรือบรรจุกระป๋อง มีบทบาทในการรักษาและป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมมากที่สุด โดยสารบางอย่างในเห็ดนี้ไปช่วยยับยั้งเอนไซม์อะโรมาเตส (aromatase) ทำให้เกิดการยับยั้งการเปลี่ยนฮอร์โมนเอนโดรเจนเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้ หญิงวัยหมดประจำเดือน เมื่อร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้น้อยลงก็ลดโอกาสการเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งเต้านมให้น้อยลงตามไปด้วย

เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า และเห็ดเป๋าฮื้อ
เห็ดสามอย่างนี้อยู่ตระกูลเดียวกัน เจริญเติบโตเป็นช่อๆ คล้ายพัด เห็ดนางรมมีสีขาวอมเทา เห็ดนางฟ้ามีสีขาวอมน้ำตาล ขณะที่เห็ดเป๋าฮื้อจะมีสีคล้ำและเนื้อเหนียวหนาและนุ่มอร่อยคล้ายเนื้อสัตว์ มากกว่า เชื่อว่าสามารถป้องกันโรคหวัด ช่วยการไหลเวียนเลือด และ โรคกระเพาะได้

เห็ดฟาง
เป็นเห็ดยอดนิยมของคนไทย นิยมเพาะกันบนกองฟางข้าวชื้นๆ โคนมีสีขาว ส่วนหมวกสีน้ำตาลอมเทา หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันการติดเชื้อต่างๆ อีกทั้งยังช่วยลดความดันโลหิตและเร่งการสมานแผล

เห็ดเข็มทอง
เป็นเห็ดสีขาว หัวเล็กๆ ขึ้นติดกันเป็นแพ รสชาติเหนียวนุ่ม นำมารับประทานแบบสดๆ ใส่กับสลัดผักก็ได้ ถ้าชอบสุกก็นำไปย่าง ผัดหรือลวกแบบสุกี้ ถ้ากินเป็นประจำจะช่วยรักษาโรคตับ กระเพาะ และลำไส้อักเสบเรื้อรัง

เห็ดโคน
ช่วยเจริญอาหาร บำรุงกำลัง แก้บิด แก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้ไอ ละลายเสมหะ การทดลองทางเภสัชศาสตร์พบว่าน้ำที่สกัดจากเห็ดโคนสามารถยับยั้งเชื้อโรคบาง ชนิด เช่น เชื้อไทฟอยด์

ได้ทราบประโยชน์ของเห็ดมากมายกันเเล้ว ซึ่งแต่ละชนิดก็มีประโยชน์แตกต่างกันไป หากชอบเห็ดชนิดใดเป็นพิเศษก็หาซื้อมารับประทานกันได้ตามใจชอบ เพราะไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น “เด็กก็ทานได้ ผู้ใหญ่ก็ทานดี”

credit : ภาควิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยบูรพา

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

เทคนิค 'ทอดไข่เจียวให้ฟู' ที่ง่ายจนเก็บไว้รู้คนเดียวไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นช่วงยากดีมีจนของแต่ละเดือน เหมียวกล้าฟันธงได้เลยว่า ‘ไข่’ ก็เป็นอาหารที่ใครๆ มักจะเลือกมาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารกินอยู่บ่อยๆ ก็เพราะมันอร่อย ไม่แพง แถมทำง่ายนี่เนอะ ^^

deep-fried-omelette-o
ซึ่งถ้าใครยังจำวิธีทอดไข่ให้ฟูแบบวิทยาศาสตร์ได้ ก็คงรู้ว่ามันมีกระบวนการที่ซับซ้อนพอสมควร แต่เหมือนสวรรค์จะเห็นใจในความซับซ้อนนี้แล้วหละ เพราะมีมนุษย์ใจดีแชร์วิธีที่ง่ายขึ้นไปอี๊กกก..

นี่คือวิธีที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึง..kapook_world-727818


ถูกต้องแล้วจ้ะ มันคือกระชอน!!kapook_world-727819


มันทำได้จริงๆนะ ดูหลักฐานในคลิปได้เลยจ้า ^^

โอ้ยยย.. เห็นแบบนี้แล้วจะรออะไรล่ะ ไปซื้อไข่มาเจียวกินเดียวนี้เล้ยยยย
ที่มา kapook, pingdao khaoyai

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

8 อาหารที่ทำให้คุณหุ่นดี และหน้าเด็ก



ใครๆ ก็ไม่อยากดูแก่ก่อนวัย แต่ทางออกของปัญหาริ้วรอยไม่ได้มีแต่ครีมราคาแพงนะคะ สิ่งสำคัญกว่าก็คืออาหารที่เราทานในแต่ละวันนี่ล่ะค่ะ ที่จะส่งผลถึงเซลล์ผิวโดยตรง หากสาวคนไหนอยากมีผิวสวยอ่อนกว่าวัยและไม่อ้วน เราขอชวนให้มาทาน 8 สิ่งต่อไปนี้กันค่ะ









1. พริกหวาน สีสันสวย แถมอุดมด้วยวิตามินซี ช่วยเสริมการสร้างคอลลาเจนให้ผิวสวยกระชับ และยังเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ป้องกันหวัดช่วงอากาศเปลี่ยนได้เป็นอย่างดี แนะนำให้ใส่ในสลัดแล้วทานสดจะได้รับประโยชน์เต็มที่ค่ะ







2.ผักใบเขียว เต็มไปด้วยสารจำพวกแคโรทีนอย่าง ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนธิน (Zeaxanthin) ที่ช่วยปกป้องผิวและเติมความชุ่มชื่นให้เซลล์ผิว ทำให้ผิวมีเกราะป้องกันตามธรรมชาติ ผิวจึงแข็งแรงและไม่แพ้ง่าย จะนำมาใส่ในสลัด ลวกจิ้มน้ำพริก ปั่นเป็นสมูธตี้ หรือนำมาทำเป็นขนมทานเล่นก็ยังได้







3.เห็ด มี ซีลีเนียม (Selenium) แร่ธาตุสำคัญที่ช่วยปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำร้าย ทำให้ผิวฟื้นฟูได้เร็วและแข็งแรงมากขึ้น นอกจากทานแบบปกติทั่วไปแล้ว ยังสามารถนำเห็ดเนื้อแน่นๆ อย่างแชมปิญอง หรือ เออรินจิ มาทำเป็นสเต๊กแทนเนื้อแดงได้อีกด้วยนะคะ







4.สัตว์ทะเลเปลือกแข็ง อุดมด้วยซิงค์ (Zinc) แร่ธาตุที่ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกาย และปกป้องเซลล์ผิวในระยะยาว พบได้มากในสัตว์ทะเลมีเปลือกอย่าง กุ้ง หอยนางรม และหอยแมลงภู่ ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี แต่มีแคลอรี่ต่ำค่ะ







5. สตรอเบอร์รี่ เต็มไปด้วยวิตามินซีและฟลาโวนอยด์ที่ช่วยป้องกันหวัดพร้อมเสริมการสร้างคอลลาเจนให้ผิวนุ่มเด้ง ในขณะที่มีแคลอรี่น้อยมาก ถึงแม้จะหมดฤดูก็ยังสามารถนำไปแช่แข็งเก็บไว้ทานให้ผิวสวยได้ตลอดปี เดี๋ยวนี้ในเมืองไทยสามารถปลูกเองได้แล้ว จึงเหมาะมีไว้ติดบ้านสุดๆ ค่ะ







6. เมล็ดทานตะวัน ถั่วและเมล็ดธัญพืชมีวิตามินอีที่ช่วยให้ปกป้องเซลล์ในร่างกาย ช่วยให้ผิวชุ่มชื่น เปล่งประกาย ชะลอริ้วรอยให้เราดูเด็กกว่าวัย และยังช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้อีกด้วย ข้อดีเพียบขนาดนี้ ลองเพิ่มเมล็ดทานตะวันลงในอาหารจานโปรดเพื่อเพิ่มรสชาติและสุขภาพที่ดีกันนะคะ







7. ไข่ มีลูทีน (Lutein) ที่ทำให้ผิวชุ่มชื่นและกระชับ เสริมสมดุลระหว่างน้ำและน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว ทำให้ผิวดูชุ่มชื่น กระจ่างใส แถมยังรสชาติอร่อย นำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนูไม่ซ้ำ ไม่ว่าจะทำเป็นไข่เจียว ไข่ตุ๋น ไข่ต้ม หรือทำเป็นไข่ดาวโปะบนผักใบเขียวสอดไส้แซนด์วิช ก็ได้สารอาหารครบ 5 หมู่ในมื้อเดียวค่ะ







8. มะม่วง มีสารเบค้าแคโรทีนที่ทำให้เซลล์ผิวซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น ทำให้ริ้วรอยมาเยือนช้า ผิวจึงนุ่มลื่นน่าสัมผัส และยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงผิว บำรุงสายตาอีกด้วยนะคะ หากเบื่อมะม่วง ก็สามารถเปลี่ยนไปทานผักผลไม้ที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกันได้ เช่น มันฝรั่ง แครอท และแคนตาลูปค่ะ



แต่ละอย่างหาทานง่าย ราคาไม่แพง แถมยังอร่อยแบบไม่อ้วนอีกด้วย ลองหามาทานกันดูนะคะ รับรองว่าจะช่วยให้เราดูอ่อนกว่าวัย และช่วยประหยัดค่าครีมไปได้อีกเยอะเลยล่ะค่ะ




ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก goodhousekeeping

- See more at: http://women.truelife.com/detail/3296202#sthash.d9fItcQa.dpuf

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

สูตรกล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้ง สุดยอดยาอายุวัฒนะ


 พริกไทยดำ บุบๆ พอแตก 100 เม็ด
2 ขิงสดฝานเป็นแง่งบางๆ 1 แง่ง
3 กล้วยน้ำว้าสุกคาต้น 1 หวี
4 น้ำผึ้งแท้
5 โหลแก้ว ขนาด พอประมาณ
(ให้สูงกว่ากล้วยวางแนวตั้ง)
วิธีทำ
นำพริกไทยและขิงสดเรียงไว้ก้นโหล
ปลอกกล้วยน้ำว้าใส่เรียงตามลงในแนวตั้ง...เรียงจนกล้วยเต็มโหล แล้วเติมน้ำผึ้งแท้
...ตามลงไปจนท่วมกล้วยมิด ปิดฝาโหลตั้งทิ้งเอาไว้ สามวัน
จากนั้นนำกล้วยมากิน
เช้า 1 ลูก
เย็น 1 ลูก
ถ้ากล้วยใกล้หมดให้เติมกล้วยลงไปใหม่ หมักต่อไป...ทานได้เรื่อยๆ
สรรพคุณ
บำรุงดี ภูมิแพ้หาย ร่างกาย แข็งแรง

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

กินเม็ดบัวป้องกันมะเร็งตับ


เม็ดบัว… มีประโยชน์ทางยาสูงมาก แพทย์แผนไทยแนะนำว่า ช่วยบำรุงกำลัง แก้โรคข้อต่างๆ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ส่วนแพทย์แผนจีนบอกว่า ช่วยบำรุงไต ม้าม หัวใจและตับ ซึ่งตรงกับงานวิจัยในต่างประ
เทศที่ระบุว่า เม็ดบัวมีสารแอนติออกซิแดนต์
ในปริมาณสูง ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติหลายอย่าง
เช่น ชะลอการเสื่อมของอวัยวะและผิวพรรณ ป้องกันมะเร็ง ช่วยปกป้องและบำรุงตับ โดยเฉพาะตับที่ต้องขับสารอะฟลาท็อกซิน(Aflatoxin) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งตับ
ออกจากร่างกาย การกินเม็ดบัวจึงสามารถ
ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
มะเร็งตับ

เม็ดบัว… เป็นธัญพืชที่ให้คุณค่าทางอาหารสูง ทานได้
ทั้งสดและแห้ง มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบ
มากกว่าข้าว 3 เท่า (ประมาณ 23%) นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมของวิตามิน แร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี เกลือแร่และฟอสฟอรัส วิตามินเหล่านี้มีส่วนช่วยในการบำรุงประสาท บำรุงไต บำรุงสมอง มีสรรพคุณทางยาใน
การรักษาอาการท้องร่วง บิดเรื้อรัง สตรีประจำเดือนมามาก และสรรพคุณ
พื้นบ้านที่ใช้เป็นยาบำรุงเลือดหรือเพิ่มเลือด ส่วนดีบัว (ต้นอ่อนที่อยู่ในเม็ดบัว มีรสขม) ยังช่วยลดความดันโลหิตสูง เพิ่มแรงบีบตัว
ของหัวใจ ช่วยขยายหลอดเลือด แก้กระหาย และอาเจียนเป็นเลือดส่วนของจีนระบุว่าดีบัวนั้น หากทานเข้าไปแล้วจะช่วยบำรุงถุงน้ำดี ช่วยเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ และบำรุง
หลอดเลือดหัวใจอีกด้วย ทั้งนี้การทานเม็ดบัว
เพื่อบำรุงเลือดแนะนำให้ทานเม็ดบัวสดเท่านั้น ไม่ใช่เม็ดบัวที่ผ่านการแปรรูป

จากคุณสมบัติที่ดีของเม็ดบัว คนสมัยก่อน
จึงนิยมนำเม็ดบัวมาทำอาหารทั้งคาวและหวาน เช่น ข้าวผัดเม็ดบัว สังขยาเม็ดบัว เม็ดบัวเชื่อม ขนมหม้อแกงเม็ดบัว ใส่ในเต้าฮวย ฯลฯ นอกจากนี้หากนำเม็ดบัวมาปรุงอาหารร่วมกับลำไยแห้งจะทำให้สรรพคุณทางยาของเม็ดบัวเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย

เม็ดบัวไทย-จีน ความเหมือนที่แตกต่าง
มีการศึกษาเปรียบเทียบปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์ในเม็ดบัวไทยและจีนพบว่า เม็ดบัวไทยมีปริมาณสารแอนติออกซิแดนต์สูงกว่าเม็ดบัวจีน 5-6 เท่า หากต้องการให้ร่าง
กายได้รับสารแอนติออกซิแดนต์ปริมาณสูงควรเลือกกินเม็ดบัวไทยโดยเฉพาะเม็ดบัวไทยสด

วิธีกิน คือ ลอกเปลือกออกจากเมล็ด โดยไม่ดึง
เยื่อหุ้มเมล็ดและดีบัวออก กินสดๆทั้งเมล็ด จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านมะเร็งซึ่งอยู่บริเวณเยื่อหุ้มเมล็ดและดีบัวในปริมาณสูง

ข้อควรระวัง ผู้ที่มีอาการท้องผูก ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่ควรกิน และไม่ควรปรุง
อาหารที่มีเม็ดบัวในภาชนะที่ทำจากเหล็ก เพราะจะทำให้เม็ดบัวกลายเป็นสีดำ

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

เทคนิคหุงข้าวสวย แบบแคลอรี่ต่ำ ประหยัดได้ 120 แคลอรี่ต่อถ้วยเชียวนะ



สำหรับนักปั่นหรือนักกีฬาที่ต้องการลดน้ำหนักแบบไม่โทรม แต่ก็ยังต้องการพลังงานเพื่ออิ่มท้อง แน่นอนว่าข้าวสวยคืออาหารประจำชาติเราที่ขาดไม่ได้ แม้รู้ว่ามันเป็นแป้งที่ทำให้อ้วนได้ง่าย แต่เราก็ยังต้องการพลังงานจากมันอยู่ดี วันนี้ผมขอพามาแนะนำ วิธีหุงข้าวสวยแบบแครอลี่ต่ำ ซึ่งคิดค้นโดย นักวิทยาศาสตร์โภชนาการของทาง College of Chemical Sciences ใน Colombo, Sri Lanka เป็นเทคนิคการลดจำนวนแครอลี่ ที่ร่างการดูดซึมเข้าร่างกายโดยสามารถลด โดยวิธีหุงเข้าแบบนี้สามารถลดแครอลี่ในข้าวลงได้ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งปกติข้าวสวยหนึ่งถ้วยจะให้พลังงาน 246 แคลอรี่ แต่วิธีหุงแบบใหม่จะลด แคลอรี่ลงเหลือแค่ 147 แคลอรี่เท่านั้น!!

เอาหละอย่าโม้ให้นานเราเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน กุญแจสำคัญคือเป็นการเพิ่มตัวต่อต้านทานแป้งให้มากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนของแป้งที่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมจากอาหารประเภทแป้งได้ วิธีการคือ เติมน้ำมันมะพร้าวลงไปในน้ำร้อนหนึ่งช้อนชา แล้วก็ใส่ข้าวไปครึ่งถ้วยคนให้เข้ากัน หุงสัก 40 นาที หรือจนกว่าข้าวจะสุก หรือจะต้มก็ได้สัก 25 นาที แล้วนำไปแช่ในตู้เย็นหนึ่งคืน ประมาณสัก 12 ชม แม้เราจะนำข้าวสวยที่แช่เย็นออกมาอุ่นเพื่อรับประทานอีกครั้ง แต่ระบบการเปลี่ยนแปลงลดแครอลี่ที่ได้ทำไปแล้ว มันจะไม่เปลี่ยนแปลงแล้วครับ เรียกง่ายๆ เราเหมือนเป็น แฮ๊กเกอร์ ที่เข้าไปหลอกขบวนการหุงข้าวใหม่ ทำให้ข้าวที่หุงได้มีแครอลี่ต่ำลง

ซึ่งการทำวิธีนี้ ในส่วนตัวน้ำมันจะซึมเข้าในเมล็ดข้าวในส่วนที่เป็นแป้งระหว่างที่เราหุง ซึ่งจะเปลี่ยนให้แป้งมีการเพิ่มตัวต้านทาน เอมไซด์ช่วยย่อย ซึ่งจะป้องกันขบวนการเปลี่ยนแป้งให้เป็น กลุโคส และดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด