วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สุดฮอต!ทุเรียน'หลง-หลินลับแล'สร้างรายได้วันละแสนบาท



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ทำการชมรมชาวสวนตำบลแม่พูล เลขที่ 1 หมู่ 1 ตำบลแม่พูล อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เกษตรกรชาวสวนทุเรียนตำบลแม่พูล ซึ่งเป็นสมาชิกชมรมชาวสวนตำบลแม่พูล ต่างเร่งคัดทุเรียนหลงลับแลและหลินลับแล เกรดเอ ส่งให้ลูกค้าที่สั่งซื้อทั่วประเทศ และเป็นปีแรกที่ชาวสวนได้ให้บริการสั่งจองและสั่งซื้อทุเรียนหลง-หลินลับแล ทางออนไลน์
นายจรูญ ปัญญายงค์ ประธานชมรมชาวสวนตำบลแม่พูล กล่าวว่า ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม – เดือนมิถุนายน เป็นฤดูกาลของทุเรียนหลงลับแล หลินลับแล ทุเรียนที่กำลังได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้ที่ชื่นชอบรับประทานทุเรียน เนื่องจากได้รับฉายาว่าเป็นทุเรียนที่อร่อยที่สุดในโลก ด้วยขนาดผลไม่ใหญ่มาก ผลหนึ่งเฉลี่ยน้ำหนักอยู่ที่ 8 ขีด ถึง 1.5 กิโลกรัม กลิ่นไม่ฉุน เนื้อนุ่ม หวานน้อย ที่สำคัญเมล็ดลีบ หรือบางพูไม่มีเมล็ด และเป็นทุเรียนที่ราคาแพงที่สุดก็ว่า ปัจจุบันราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 300-400 บาท
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาได้มีการจำหน่ายกล้าพันธุ์หลง-หลินลับแล เพื่อนำไปขยายพื้นที่ปลูกทั้งในและต่างจังหวัด เพื่อให้แฟนพันธุ์แท้ของหลง-หลินลับแล ได้รับประทานทุเรียนจากต้นกำเนิด คือมีพื้นที่ปลูกบนภูเขา ปลูกแบบปลอดสาร ที่ตำบลแม่พูล อำเภอลับแล ปีนี้ชมรมชาวสวนตำบลแม่พูล จึงรวมตัวจัดจำหน่ายทุเรียนหลง-หลิน แบบชาวสวนถึงผู้บริโภคโดยตรง เพื่อให้ได้ทุเรียนที่มีคุณภาพ ด้วยการนำความรวดเร็วทางโซเชียล ทั้ง facebook สร้างเพจ และ การสั่งจาก line มาใช้ในการสั่งซื้อและจัดส่ง
นางปุณยนุช ทองชั้น เลขาฯชมรมชาวสวนตำบลแม่พูล กล่าวว่า เป็นปีแรกที่ชมรมชาวสวนตำบลแม่พูลได้บริการสั่งซื้อทุเรียนหลง-หลินลับแล ออนไลท์ ด้วยการตั้งเพจชื่อ หลงลับแล หรือ ไอดี tawanchay99 (ตะวันฉาย99) ช่วงระยะเวลาเพียง 2 สับปดาห์มีออรเดอร์สั่งซื้อจากทั่วประเทศ วันละไม่ต่ำกว่า 300-400 กิโลกรัม ซึ่งจะคัดทุเรียนเกรดเอเท่านั้น มีเงินหมุนเวียนเฉพาะชมรมชาวสวนตำบลแม่พูลวันละไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท จากปัตตานี นราธิวาส อุบลราธานี อุดรธานี นครราชสีมา
ทั้งนี้ เน้นให้ลูกค้าได้รับประทานทุเรียนจากต้นกำเนิด มีคุณภาพ เพราะเป็นทุเรียนที่ตัดสดๆจากสวน ตัดใหม่ทุกวันตามออเดอร์ที่สั่ง ตามสโลแกน “หลงทุกลูก อร่อยทุกคำ” ลูกค้าที่สั่งซื้อทุกคนจะได้รับคำแนะนำวิธีรับแกะ การรับประทาน โดยทุเรียนทุกลูกจะดิบจากสวน แต่สุก รับประทานได้เมื่อถึงมือลูกค้า กลิ่นหอมอ่อนๆละมุ่นๆ ใส่กล่องที่ประทับตรารับประกันจากชมรมชาวสวนตำบลแม่พูล และสามารถส่งคืนได้หากได้รับทุเรียนไม่มีคุณภาพ คาดว่าฤดูกาลนี้ชมรมชาวตำบลแม่พูลมีเงินสะพัดจากการขายทุเรียนหลง-หลินลับแล ออนไลท์ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพราะสะดวก รอรับทุเรียนที่บ้าน แถมได้รับประทานทุเรียนต้นกำเนิดเกรดเอ มีคุณภาพ

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ทำความรู้จัก...Dakota Pearl มันฝรั่งที่ทำอาหารได้อร่อยที่สุด



เชื่อหรือไม่ว่า…เมนูอาหารแสนอร่อยที่ถูกอกถูกใจชาวอเมริกันส่วนใหญ่ จะเป็นเมนูที่ประกอบไปด้วยมันฝรั่งที่นำมาทำอาหารรสชาติโอชะให้ได้ลิ้มลองกัน และมันฝรั่งที่กลายเป็นหนึ่งในอาหารรสชาติเด็ดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็คือมันฝรั่ง Dakota Pearl ที่มีเนื้อนุ่มละเอียด สีขาวนวลใส ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน สดใหม่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมันฝรั่งสายพันธุ์นี้ ที่จะช่วยยกระดับของรสชาติอาหารเมนูต่างๆ ให้อร่อยขึ้นอีกเยอะ! 
Dakota Pearl มันฝรั่งเนื้อพรีเมี่ยมหนึ่งเดียวที่ปลูกเฉพาะในอเมริกา ด้วยความที่เนื้อนุ่มละเอียด ไม่อมน้ำมัน ซึ่งช่วยให้อาหารมีไขมันและแคลอรี่น้อย มันฝรั่งสายพันธุ์นี้ จึงเป็นวัตถุดิบอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ทำอาหารที่ใครๆ ก็ถูกใจ ตั้งแต่เมนูง่ายๆ เครื่องปรุงไม่กี่ชนิด ไปจนถึงเมนูยากๆ ที่มีส่วนผสมและเครื่องปรุงสารพัดชนิด 
จะว่าไป เมนูที่ทำจากมันฝรั่ง Dakota Pearl มีเยอะแยะไปหมด แต่ถ้านับเมนูยอดฮิตติดลมบน ที่ใครๆ ก็ต้องกิน มีอยู่ด้วยกัน 4 เมนู ไปดูกันเลยว่ามีเมนูน่าอร่อยเมนูไหนบ้าง 


1. เฟรนฟราย 
แหม... ก็พูดถึงเมนูมันฝรั่งสุดฮิต ถ้าไม่นึกถึงเฟรนฟรายก็คงไม่ได้ เพราะเป็นเมนูมันฝรั่งที่ทำง่ายสุด กินง่ายสุด แถมเป็นเมนูที่ขายดีสุดๆ ตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในอเมริกา ก็เพราะกินคนเดียวก็ดี กินกับเพื่อนก็ได้น่ะสิ 


2. มันฝรั่งทอดกรอบ 
ขนมขบเคี้ยวทานเล่นที่หาทานได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป เนื้อ Dakota Pearl ที่สไลด์บางๆ ทอดจนกรอบ คลุกเคล้ากับเครื่องเทศชนิดต่างๆ อร่อยเข้มข้นเอาใจคนกินสุดๆ อย่างมันฝรั่งทอดกรอบ Perfecto ที่ท้าทายความเข้มข้นถึงเนื้อ ถึงรูปทรงจะดูเป็นอาหารแสนธรรมดา แต่…ความอร่อยจัดเต็ม! 


3. มันฝรั่งอบชีส 
อู้วววว... ขึ้นชื่อว่าชีส คอชีสห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง มันฝรั่งอบชีสร้อนๆ หอมกลิ่นชีส เข้มข้นและหอมมันด้วยมันฝรั่ง Dakota Pearl ผสมผสานกับชีส เนย และผักใบเขียว แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้ว! ถึงเมนูนี้จะไฮแคลอรี่มากกกกกกก แต่ความอร่อยของเมนูนี้ เป็นใครก็ต้องยอมใจในรสชาติล่ะนะ 


4. มันฝรั่งอบ หรือมันฝรั่งทอด ที่เสิร์ฟพร้อมกับสเต็กเนื้อนุ่ม 
ต้องยอมรับจริงๆ ว่ามันฝรั่ง Dakota Pearl กินกับอะไรก็อร่อย! ยิ่งเป็นเครื่องเคียงชิ้นหนาๆ ทอดกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟมาพร้อมสเต็กเนื้อหนานุ่มสักชิ้น พรีเมี่ยมสุดๆ ล่ะทีนี้ รับรองว่าจะกินหมดจานไม่รู้ตัว 

ขนาดเชฟยังเลือก Dakota Pearl เป็นส่วนประกอบต้นๆ เอามาทำอาหารเลย เพราะฉะนั้น ใครที่คอมันฝรั่ง ขอบอกเลยว่าห้ามมองข้าม และห้ามพลาดมันฝรั่ง Dakota Pearl เด็ดขาดเลยจ้า 


ที่มาและข้อมูลจาก : www.wongnai.com




วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แง้มสูตรเด็ด!! วิธีต้ม "ไข่เป็ดมหัศจรรย์" ทำยังไง.. ให้ไข่แดงอยู่นอกไข่ขาว !?


หลายคนแค่เห็นภาพก็น้ำลายไหลแล้ว แต่จะทำยังไงนะ ให้เราต้มไข่เป็ดออกมาให้มีหน้าตาอย่างนี้บ้าง? ขอบอกว่า.. ไม่ยากอย่างที่คิด


เป็นโชคดีของเราจริงๆ ที่เจ้าของสูตรไข่เป็ดต้มสูตรพิสดาร ที่มีหน้าตามหัศจรรย์ชวนน้ำลายไหลเหล่านี้ นอกจากจะมีฝีมือในการทำอาหารแล้ว ยังมีน้ำใจ ช่วยแง้มสูตรลับ ในการทำให้ไข่ต้มออกมามีหน้าตาแบบนี้ เราก็ไม่ขอรอช้า.. มาลงมือกันเลยดีกว่า !!


วัตถุดิบ
1. ไข่เป็ดเก่า.. หรือหากไม่มี ให้นำไข่เป็ดสด ไปตากแดด 1 แดด (*อย่าลืม เชี่ยวนาา า เพราะ เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้แหละ)
2. เกลือ


วิธีทำ
1.นำไข่ใส่หม้อ เติมน้ำลงในหม้อให้ระดับน้ำไม่ท่วมไข่เป็ด จากนั้นก็ใส่เกลือลงไปเพื่อไม่ให้เปลือกไข่แตก
2.นำไปตั้งไฟปานกลาง ห้ามคนเด็ดขาด เพราะจะทำให้ไข่สุกทั้งใบ และได้หน้าตาไม่เหมือนในรูป
3.ใช้เวลา 2 นาทีครึ่ง โดยนับเวลาจากตอนที่น้ำเริ่มเดือด ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้วให้ปิดไฟ  แล้วรีบตักไข่ใส่น้ำเย็นทันที เพื่อไม่ให้ไข่นั้นสุกไปมากกว่านี้ 


เพียงเท่านี้เราก็จะได้ไข่เป็ดสุดมหัศจรรย์ออกมาแล้ว ส่วนที่หลายคนข้องใจว่าเหตุใดจึงต้องใช้ไข่เป็ดเก่าเท่านั้น เนื่องจาก ไข่แดงของไข่เป็ดเก่าจะลอยตัวอยู่ด้านบน ทำให้เมื่อต้มเฉพาะไข่ขาวสุกก็ทำให้มีไข่แดงโผล่พ้นออกมาดังภาพ




ที่มา food.mthai.com

แจกฟรี! สูตรข้าวต้มปลากระพง อ่านแล้วทำกินและขายได้ทันที เมนู อาหาร เพื่อสุขภาพ



เมนูโปรดของใครหลายๆคน ซึ้งสูตรข้าวต้มปลากระพงนั้นทำได้ไม่ยากเลย เพื่อนๆสามารถทำรับประทานเอง หรือจะทำขายก็ได้แนะนำสูตรข้าวต้มปลากระพงรสเด็ด ที่เพื่อนสามารถทำกิน และทำขายกันได้เลย เราไปดูกันดีกว่า ว่ามีขั้นตอนไม่การทำข้าวต้มปลากระพง อย่างไรบ้าง
สูตรข้าวต้มปลากระพง
วัตถุดิบในการทำข้าวต้มปลากระพง
– เนื้อปลากระพงแล่เป็นชิ้นๆ
– ข่าเผา
– รากผักชี
– ข้าวสวย
– น้ำซุปกระดูกหมู
– เต้าเจี้ยว ขิง พริก กระเทียม
– เกลือ มะนาว น้ำเชื่อม
– ขึ้นฉ่าย พริกไทยป่น น้ำตาล
ข้าวต้มปลากระพง
ขั้นตอนการทำข้าวต้มปลากระพง
1. นำปลากระพงที่แล่เป็นชิ้นมาล้างให้สะอาด ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย แล้วขยำให้ทั่วเนื้อปลา จากนั้นนำมาล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ข้าวต้มปลากระพง

2. ตั้งน้ำซุปกระดูกหมูในหม้อให้เดือด ใส่รากผักชีทุบและข่าเผาที่ฝานเป็นแผ่นๆลงไป พอน้ำเดือดได้ที่ก็ใส่ปลาลงไปในหม้อ อย่าคนนะเพราะเดี๋ยวเนื้อปลาจะยุ่ย ปรุงรสชาติด้วยเกลือเล็กน้อย ใส่น้ำตาลทราย และพริกไทยป่นนิดหน่อย
ข้าวต้มปลากระพง

ขั้นตอนการทำน้ำจิ้มข้าวต้มปลากระพง

1. หั่นขิงและข่าเผาเป็นเส้นๆ จากนั้นใส่ลงไปในครก
ข้าวต้มปลากระพง 2. ตามด้วยใส่พริก และกระเทียม จากนั้นตำให้ละเอียด และเข้ากัน
ข้าวต้มปลากระพง 3. ตักทั้งหมดใส่ถ้วย ใส่น้ำลงนิดหน่อย ปรุงรสด้วยเต้าเจี้ยว น้ำเชื่อม เกลือ และมะนาว
ข้าวต้มปลากระพง 4. ขั้นตอนสุดท้ายเจียวกระเทียมจนหอม ตักน้ำซุปและเนื้อปลากระพงร้อนๆไปราดบนข้าวสวย โดยไม่ต้องตักข่ากับรากผักชีนะ
ข้าวต้มปลากระพง

โรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว ตกแต่งด้วยขึ้นฉ่าย จากนั้นก็พร้อมเสิร์ฟ สำหรับข้าวต้มปลากระพง ที่ใครจะทำขาย หรือกินเองก็นำสูตรนี้ไปทำได้เลย

ขอบคุณสูตรที่มา chingcancook เว็บไซต์ โดยได้มาแนะนำสูตรข้าวต้มปลากระพงรสเด็ดๆ

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แจกสูตร "ข้าวมันไก่เนรัญชลา สูตร2" สำหรับทำกินและทำขายฟรี!!!



วันนี้จะขอนำสูตรข้าวมันไก่ ซึ่งเคยได้ลงไว้ในเฟสบุ๊ค นำมารีวิวส์ให้เพื่อนๆได้พอมองเห็นภาพกันชัดๆอีกรอบนะคะ ซึ่งเดี๋ยวดิฉันจะบอกสูตรน้ำจิ้มสูตรที่ 1 ไว้ให้ด้วยเลยก็แล้วกัน เพื่อนๆจะได้ไปเลือกเอาค่ะว่าชื่นชอบสูตรไหนมากกว่ากัน
---------------------------------------------------
"ข้าวมันไก่เนรัญชลา สูตร2"
วัตถุดิบและเครื่องปรุงน้ำจิ้มมีดังนี้...
1. ข้าวสารหอมมะลิเก่า 1 ก.ก.
2. ไก่ 1 ตัว
3. ขิงสับ 50 กรัม
4. กระเทียมสับ 30 กรัม
5. พริกขี้หนูแดงสับ 30 กรัม
6. เต้าเจี้ยวสูตรหนึ่ง 3/4 ถ้วยตวง
7. น้ำส้มสายชูกลั่น 1/2 ถ้วยตวง
8. เกลือป่น
9. น้ำตาลทราย
10. น้ำมันไก่ 1/2 ถ้วยตวง
11. รากผักชีกระเทียมพริกไทยโขลก 2 ช.ต.
12. ขิงแก่หั่นแว่น 8 แว่น
13. ใบเตย 8 ใบ
14. น้ำเปล่า
15. ซีอิ้วดำหวาน 1 ช.ช.


"วิธีทำไก่ต้ม"
1. นำน้ำเปล่าใส่หม้อใบใหญ่ ปริมาณต้องให้ท่วมตัวไก่ มัดใบเตยใส่ลงไปในหม้อน้ำ ตามด้วยเกลือป่น 1 ช.ต. นำขึ้นตั้งไฟแรงให้เดือด
2. นำไก่ลงต้ม พอเดือดแล้วให้ลดไฟให้เหลือไฟอ่อน ปิดฝารอจนไก่สุกลอยก็ใช้ได้ นำไก่ขึ้นพักไว้ ส่วนน้ำต้มไก่ให้ช้อนใบเตยทิ้งแล้วเก็บน้ำต้มไก่เอาไว้สำหรับหุงข้าวและทำน้ำซุป
"วิธีหุงข้าวมันไก่ด้วยกระทะ"
1. นำน้ำมันไก่ใส่กระทะตั้งไฟให้พอร้อน ใส่ขิงแก่หั่นแว่นลงทอดให้หอม ลดไฟให้เหลือไฟอ่อน จากนั้นจึงใส่รากผักชีกระเทียมพริกไทยโขลกลงผัดให้หอมฟุ้ง


2. ล้างข้าวสารให้สะอาด กรองด้วยกระชอนให้สะเด็ดน้ำ เทใส่ลงไปในกระทะน้ำมัน ผัดให้พอเข้ากัน


3. ใส่น้ำต้มไก่ลงไป 10 ถ้วยตวง เกลือป่น 10 กรัม และน้ำตาลทราย 10 กรัม คนให้เข้ากัน ปิดฝาตั้งไฟกลางให้พอเดือด จากนั้นจึงลดไฟลงให้เหลือไฟอ่อน ปิดฝาและคอยคนเป็นระยะเพื่อป้องกันข้าวติดก้นกระทะ การหุงข้าวมันไก่แบบนี้ใช้กรรมวิธีคล้ายคลึงกันกับการหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำ พอข้าวระอุสุกดีจึงปิดไฟ

1. ข้าวแต่ละชนิดนั้นอาจต้องใช้ปริมาณน้ำที่แตกต่างกัน ดังนั้นบางครั้งอาจต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัวมากะปริมาณน้ำในการหุงข้าวด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำตามสูตรเสมอไป
2. สูตรนี้ไม่ใช้ผงชูรสหรือผงปรุงรส ดังนั้นการหุงข้าวจึงใส่น้ำตาลทรายลงไป 10 กรัม เพื่อทำให้รสชาติข้าวนั้นสมดุลย์ ทดแทนการใช้ผงชูรส
3. การเจียวขิง และรากผักชีกระเทียมพริกไทยโขลกกับน้ำมันไก่ จะช่วยลดกลิ่นหืนของน้ำมันไก่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ก็ยังช่วยให้เนื้อข้าวมีกลิ่นหอมเวลารับประทาน

"วิธีทำน้ำจิ้ม"
1. ผสมขิงสับ กระเทียมสับ พริกขี้หนูแดงสับเข้าด้วยกัน
2. จากนั้นจึงใส่เต้าเจี้ยว น้ำส้มสายชู ซีอิ้วดำหวาน และน้ำตาลทรายอีก 50 กรัม คนให้เข้ากัน
ได้เมนูข้าวมันไก่ รสชาติน้ำจิ้มจัดจ้านถึงใจ เมล็ดข้าวสวยไม่แฉะ ไก่ต้มเนื้อนุ่มกำลังดี ไม่แห้งหรือแข็งกระด้างค่ะ
สำหรับน้ำต้มไก่ที่เหลือ ก็สามารถนำมาทำน้ำซุปได้ ด้วยการใส่ซี่โครงไก่ลงไปต้มให้เดือด ใส่ฟักแก่ และมะนาวดองลงไปสักลูก
ปรุงรสด้วยเกลือป่นและซีอิ้วขาว โรยด้วยต้นหอมและผักชีซอย
และสำหรับสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่เนรัญชลาสูตรที่ 1 ประกอบไปด้วยอัตราส่วนผสมดังนี้...
1. เต้าเจี้ยวอย่างดี 12 ช.ต. 2. ซีอิ้วขาวอย่างดี 8 ช.ต. 3. ซีอิ้วดำหวาน 1 ช.ช. 4. ขิงสับ 8 ช.ต. 5. น้ำต้มสุก 4 ช.ต.
6. น้ำตาลทราย 3 ช.ต. 7. น้ำส้มสายชู 4 ช.ต. 8. น้ำมะนาว 2 1/2 ช.ต. 9. พริกขี้หนูสับ 15 -20 เม็ด 10. กระเทียมสับ 3 ช.ต.

# หมายเหตุ #
1. เวลาต้มไก่อย่าให้น้ำเดือดพล่าน เพราะจะทำให้หนังไก่ไม่สวย
2. การใช้พลาสติกคลุมหนังไก่ หลังจากนำไก่ขึ้นมาจากหม้อต้มแล้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้หนังไก่โดนลม หนังไก่จะได้ไม่แห้ง
3. หากไม่ใช้น้ำมันไก่ สามารถใช้น้ำมันอื่นๆแทนได้ตามชอบ
4. การใส่น้ำต้มไก่เวลาหุงข้าว ควรดูด้วยว่าเราใช้ข้าวหอมมะลิเก่าหรือใหม่ด้วย อาจต้องใช้วิจารณะญาณของผู้ปรุงด้วยว่าเราเคยใส่น้ำในข้าวนั้นปริมาณเท่าใด จึงจะได้ข้าวที่ออกมาสวย
5. รสชาติของน้ำจิ้ม สามารถปรับลดหรือเพิ่มได้ตามความชอบ เพราะรสนิยมในการรับประทานของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
----------------------------------------------------------
ข้อมูลโดย...NarunChala Phatthranant

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

พิษสงของ “ผงชูรส”

ขอนำข้อมูลจากแพทย์และนักโภชนาการมาตอกย้ำอีกครั้ง ว่าจริงๆ แล้วที่โฆษณากันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังมีอันตรายอย่างใหญ่หลวง มาดูกันว่าอันตรายจากผงชูรส (ซึ่งบางคนอยากเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ว่า “ผงชูโรค”) นั้นมีอะไรบ้าง


ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและผู้ที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังระบุว่า อันตรายของผงชูรสนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม กับ พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรส
สำหรับ “พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม” นั้น เนื่องจากผงชูรสมีโซเดียมที่มาจากโซดาไฟ เป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับเกลือแกง แต่อันตรายกว่าเกลือแกงตรงที่เกลือแกงใช้เพียงนิดเดียวก็รู้สึกว่ามีรสเค็ม แต่ผงชูรสใส่เท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกว่ามีปริมาณโซเดียมสูงเพราะไม่มีรสเค็มให้รับรู้ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง-ผงชูรสมีพิษร้ายของโซเดียมแฝงอยู่อย่างมิดชิด ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อไปนี้
1.ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ถึงแม้ผงชูรสจะไม่ทำให้ใครเป็นเอดส์ แต่มันก็ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องได้ ยิ่งถ้าคนเป็นเอดส์มาทานอาหารที่ใส่ผงชูรสเยอะๆ ยิ่งมีสิทธิตายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
2.ทำให้เกิดการตกค้างในสมองเด็ก เมื่อโตขึ้นจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน ในปัจจุบันมีเด็กปัญญาอ่อนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่มีผงชูรสแพร่หลายในประเทศ นอกจากนั้นผงชูรสยังทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคม่า ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สาเหตุ ทำให้รักษาผิดพลาดได้ ไม่เพียงเท่านั้น ผงชูรสยังเป็นอันตรายต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้ร่างกายบวมและยังเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย
3.ซ้ำเติมผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
นั่นคืออันตรายจากโซเดียมที่อยู่ในผงชูรส ส่วนอันตรายจากตัวผงชูรสแท้ๆ นั้น ยังมีอีกมากมายจนหลายคนคาดไม่ถึง นั่นคือ
1.ทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น รู้สึกชาและร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้ม ต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก ฯลฯ จนเป็นที่รู้จักและขนานนามอาการแพ้แบบนี้ว่า “โรคแพ้ผงชูรสในภัตตาคารจีน” (Chinese Restaurant Syndrome)
2.ทำลายสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้เติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลงทั้งขนาดและน้ำหนัก
3.ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือตาบอด โดยเฉพาะในสัตว์ทดลอง ยิ่งอายุน้อยจะยิ่งเกิดผลร้าย
4.ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดง ทำให้โลหิตจาง
5.ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะวิตามินบี 6 ซึ่งแก้โรคแพ้ผงชูรสได้
6.เป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง
7.ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
8.เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ร่างกายผิดปกติ เช่น ปากแหว่ง หูแหว่ง จมูกวิ่น แขนขาพิการ
นี่ขนาดรวบรวมมาไม่ครบ ยังมีพิษภัยให้ตระหนัก 10 กว่าข้อ แสดงว่าผงชูรสนั้นมีอันตรายจริงๆ และอันตรายหลายอย่างเป็นเรื่องของการสั่งสมในร่างกาย อาจไม่เห็นพิษภัยในทันที แต่เชื่อเถอะว่าถ้ากินเข้าไปเยอะๆ กินเข้าไปทุกวัน ผลของมันต้องแสดงออกมาวันใดวันหนึ่งในอนาคต
ทางที่ดี ป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน ลด ละ เลิก ผงชูรสให้ได้มากที่สุด ถ้ากินอาหารนอกบ้าน อย่าอายที่จะบอกคนขายหรือพนักงานเสิร์ฟว่า “ไม่ใส่ผงชูรส” และถ้าทำอาหารกินเอง ขอให้เชื่อรสมือตัวเองมากกว่าเชื่อโฆษณา จงมั่นใจเถอะว่า อาหารที่ปราศจากผงชูรสนั้นดีกว่าแน่นอน โดยเฉพาะดีต่อสุขภาพในระยะยาว
ขอขอบคุณPenthouse ผู้สนับสนุนเนื้อหา

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

“หัวหอมแดง” ดับพิษไฟ น้ำร้อนลวก


เวลามีใครถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวกตามร่างกาย แต่ไม่ใช่ว่าถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวกมากมาย ทำให้เกิดปวดแสบปวดร้อนแทบทนไม่ไหว ในยุคสมัยก่อน หมอยาพื้นบ้านมีวิธีช่วยได้โดย ให้เอา “หัวหอมแดง” ที่ใช้ปรุงอาหารหาได้ในครัวเรือน ตำละเอียดพอกบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก จะช่วยดับพิษปวดแสบ ปวดร้อนให้หายได้ทันทีแบบเหลือเชื่อ
หัวหอมแดง หรือ ALLIUM ASCALONI-CUM LINN. อยู่ในวงศ์ ALLIACEAE มีขายทั่วไป คุณค่าทางอาหารให้แคลเซียมและฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่เหมาะสมกับการดูดซึมของร่างกาย มีเบต้าแคโรทีน และยังมีสารจำพวก “ฟลาโวนอยด์” โดยเฉพาะ “เควอซิทีน” ที่เป็นเกราะป้องกันมะเร็งให้กับคนได้ เหมือนกับที่พบใน ไวน์แดง ดังนั้นกิน “หัวหอมแดง” นอกจากจะได้ “ฟลาโวนอยด์” แล้วยังมีสารอาหารมากกว่า 10 ชนิด พร้อมด้วยกากใยอาหารสูงด้วย
ที่มา ไทยรัฐ

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เคยกินไหม ‘ขนมบูตู’! ของอร่อยสงขลา เหลือแค่เจ้าเดียว


น่าชื่นชมหนุ่มนักศึกษา อายุแค่ 20 ปี แต่มีสำนึกรักบ้านเกิด อนุรักษ์การทำ ‘ขนมบูตู’ ขนมไทยมุสลิม ของอร่อยหายากของ จ.สงขลา เหลืออยู่เพียงเจ้าเดียว ใครไปเที่ยวอย่าพลาดไปชิม... 
เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 58 ผู้สื่อข่าว ได้พบกับนายชยุต ตะทวี อายุ 20 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 หลักสูตรการพัฒนาชุมชน สาขาวิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา ซึ่งทำ ‘ขนมบูตู’ ขายในช่วงปิดเทอมเพื่อหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว และสืบสานอนุรักษ์ขนมไทยมุสลิม เอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่หากินยากใน จ.สงขลา
ทั้งนี้ จะตั้งขายเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดราชการ บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 220 ถนนนางงาม เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นบ้านของมารดา มีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนกันจำนวนมาก และเป็นธุรกิจครอบครัวมีญาติพี่น้องมาช่วยกันขายด้วย


นายชยุต ตะทวี เปิดเผยว่า ในช่วงปิดเทอมของมหาวิทยาลัย ในฐานะที่เป็นเยาวชน มีเวลาว่าง จึงอยากหาสิ่งดีๆ ทำเพื่อแผ่นดินเกิด และใน จ.สงขลา ก็ยังมีอะไรดีๆ อีกเยอะแยะมากมาย แต่หลายอย่างกำลังจะสูญหาย จึงอยากทำหน้าที่เยาวชนในการอนุรักษ์สิ่งดีๆ ตรงนี้ให้คงอยู่ ไม่อยากให้สูญหายไป
โดยได้ทำขนมบูตู มาประมาณ 1 ปีแล้ว ได้สูตรขนมมาจากญาติพี่น้องที่ทำขนมนี้ขายมาก่อนและเลิกกิจการไป เนื่องจากอายุมาก
"ถ้าถามว่าวันนี้รู้สึกอย่างไร ก็รู้สึกดีที่ได้มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ให้คนรอบนอกและคนในจังหวัดสงขลาได้รู้ว่า ขนมบูตูนี้ยังมีชีวิตอยู่" นายชยุต กล่าว
สำหรับขนมบูตู แม้แต่ใน จ.สงขลาเองยังหากินยาก เป็นขนมสูตรดั้งเดิมจากบรรพบุรุษที่สืบทอดมาถึงลูกหลาน และเหลืออยู่เพียงเจ้าเดียวย่านถนนนางงาม อ.เมืองสงขลา แห่งนี้เท่านั้น หากท่านที่เดินทางมาท่องเที่ยวสงขลา และอยากลองลิ้มชิมรสชาติขนมบูตูของนายชยุต ตะทวี นักศึกษามหาวิทยาลัยทักษิณ สงขลา สามารถแวะไปชิมได้เฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดราชการ บริเวณสี่แยกถนนนางงามตัดกับถนนพัทลุง ในเขตเทศบาลนครสงขลา เปิดขายตั้งแต่เวลา 07.00-09.00 น.


ที่มา  http://www.thairath.co.th/content/496695