วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

สูตรเด็ด" ไข่ตุ๋นทอด "


เบื่อกับข้าวแบบเดิมๆ ทำบ่อยกินบ่อยจำเจ ไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ตุ๋น  ไข่น้ำ เบื่อกันมั๊ยนะ  วันนี้เอาไข่ตุ๋นมาชุปแป้งทอดกรอบๆ จิ้มซอสพริก หรือน้ำจิ้มไก่ตามสะดวก ไม่ต้องจำเจ 
เรามีสูตรมาแบ่งปันค่ะ 




ไข่ไก่  3 ฟอง  พริกไทยป่น ซอสหอยนางรม 1 ชต  ซีอิ๊วขาว 1 ชช ต้นหอมซอย ผักชี น้ำมะนาวนิดหน่อย แอบใส่ลูกโดดลงไปด้วยค่ะ * ถ้าทำให้เด็กทาน แยกตุ๋นอีกถ้วยต่างหาก
น้ำซุป 1 ถต ถ้ามีหมูสับ กุ้งสับใส่ได้เลยค่ะ
ตีให้เข้ากัน ตุ๋นให้สุก พักให้เย็น แล้วตัดเป็นชิ้น 
ผสมแป้งทอดกรอบกับน้ำเย็นจัด พริกไทป่น ตีไข่ไก่ 1 ฟองเล็กผสมให้เข้ากัน

นำไข่ตุ๋นชุปแป้งทอดน้ำมันร้อน ไฟปานกลางจนกรอบ  
กรอบนอกนุ่มใน จิ้มกับซอสพริก หรือน้ำจิ้มอื่นๆตามสะดวก 


อาหาร 10 อย่าง ที่ไม่ควรกินมากเกินไป


อาหาร 10 อย่าง ที่ไม่ควรกินมากเกินไป เคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์จีน ว่าด้วยเรื่องอาหารการกิน 10 อย่าง ที่ไม่ควรกินมากเกินไป มีดังนี้

1. ไข่เยี่ยวม้า ไข่เยี่ยวม้ามีส่วนประกอบของตะกั่วการกินไข่เยี่ยวม้าปริมาณมากๆ และบ่อยๆ อาจเกิดพิษจากสารตะกั่ว นอกจากนั้นยังทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดน้อยลง เกิดภาวะขาดแคลเซียม ทำให้กระดูกผุได้

2. ปาท่องโก๋ กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้มเป็นส่วนประกอบ และในสารส้มมีส่วนประกอบของตะกั่วการกินปาท่องโก๋ทุกวันจะทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารตะกั่ว ซึ่งเป็นพิษต่อสมองและเซลล์ประสาท ทำให้เสื่อมเร็ว เป็นโรคความจำเสื่อมนอกจากนี้ย้งทำให้คอแห้ง เจ็บคอโดยเฉพาะคนที่ร้อนในง่าย

3. เนื้อย่างประเภทต่างๆ เนื้อที่ถูกรม ย่างไฟ จะเกิดสารเบนโซไพริน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง

4. ผักดอง การกินผักดอง หรือของหมักเกลือนานๆ จะเกิดการสะสมของเกลือโซเดียม ทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดโรคความดันเลือดสูง และโรคหัวใจได้ง่ายนอกจากของหมักดองยังมีสารก่อมะเร็ง แอมโมเนียมไนไตรต์

5. ตับหมู ตับหมู 1 กิโลกรัม มีโคเลสเตอรอลมากกว่า 400 มิลลิกรัม การกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลปริมาณสูงมากๆ นานๆ จะทำ ให้หลอดเลือดแข็งตัว มีความเสี่ยง ต่อโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดทางสมอง รวมถึงโรคมะเร็งด้วย

6. ผักขม, ผักปวยเล้ง ผักขม, ผักปวยเล้งมีสารอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่มีกรดออกซาเลตมาก จะทำให้มีการขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมาก เกิดภาวะขาดแคลนแคลเซียมและสังกะสี

7. บะหมี่สำเร็จรูป บะหมี่สำเร็จรูปหลายชนิดมีสารกันบูด สารปรุงแต่งรสที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายการกินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยๆ จะทำให้ขาดสารอาหารและเกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย

8. เมล็ดทานตะวัน เมล็ดทานตะวันมีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัว การกินเมล็ดทานตะวันปริมาณมาก จะทำให้ระบบเมตาบอลิซึมของไขมันผิดปกติ ทำให้มีการสะสมไขมันที่ตับได้ เป็นอันตรายต่ออวัยวะตับ

9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้ กระบวนการหมักเต้าหู้ มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่ายนอกจากนี้ ยังมีสารย่อยสลายโปรตีน ไฮโดรเจนซัลไฟล์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

10. ผงชูรส คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินกว่า 6 กรัมต่อวัน จะทำให้กรดกลูตามิกในเลือดสูง ซึ่งมีผลต่อการทำงานของ ประจุแคลเซียมและแมกนีเซียม เกิดอาการปวดศีรษะ ใจสั่น คลื่นไส้ นอกจากนี้ มีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์ด้วย

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

สุดยอดประโยชน์จาก “ขนุน”



นอกจากจะทานเพื่อความอร่อยแล้ว ขนุนยังมีประโยชน์ทั้งบำรุงร่างกายและป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ได้อีกด้วย มาดูสุดยอดประโยชน์ของผลไม้อย่างขนุนกันเลย

1. ลดการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
สำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้า ลองนำเม็ดขนุนจุ่มนมเย็นและนำมาคลึงบนหน้าเบาๆ วิธีนี้จะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าได้อย่างดี (ลองทำต่อเนื่องอย่างน้อย 6 สัปดาห์)

2. ลดอาการท้องผูก 
สรรพคุณของเม็ดขนุน ใช้เป็นยาระบายอ่อน ๆ ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยเส้นใยที่จะเข้าไปล้างพิษ

3. ช่วยให้ผิวเนียนใส
นำเม็ดแห้งของขนุน มาบดให้ละเอียดกับนมและน้ำผึ้ง ใช้มาร์กหน้าทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออก

4. โปรตีนสูง
เม็ดขนุนมีโปรตีนสูง สำหรับคนที่กำลังลดน้ำหนักลองเปลี่ยนจากกินถั่วมากินเม็ดขนุน (ต้ม) ก็ช่วยได้

5. ช่วยให้ผมสวยสุขภาพดี
ทานเม็ดขนุน สามารถช่วยในการไหลเวียนของเลือด เป็นผลดีกับผมช่วยให้เส้นผมยาวเร็วขึ้นอีกด้วย

6. มีวิตามินเอ
เม็ดขนุน เป็นแหล่งรวมวิตามินที่ดีสำหรับเส้นผม ป้องกันผมไม่ให้แห้งกร้านและเปราะบาง

7. สร้างภูมิคุ้มกัน
เป็นแหล่งวิตามินซีและมีสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถสร้างระบบคุ้มกันให้แข็งแรงปกป้องอาการป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไอ ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่

8. ให้พลังงาน
ขนุน อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต แคลอรี่รวมไปถึงน้ำตาลฟรุกโตส เป็นผลไม้ที่ไม่มีคอเรสเตอรอล กินได้ปลอดภัยสุขภาพดีชัวร์

9. ปกป้องการเกิดโรคมะเร็ง
ขนุน มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่สามารถป้องกันจากโรคมะเร็งได้ และป้องกันมะเร็งในช่องปาก

10. รักษาความดันโลหิต
ขนุน มีโพแทสเซียมที่ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงและบำรุงหัวใจ 

11. ช่วยปรับการย่อยอาหารให้ดีขึ้น
ขนุน อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารที่เหมือนเป็นตัวช่วยหรือยาระบาย ช่วยย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก

12. ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
ขนุน มี high in dietary fats จึงสามารถช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากสารพิษในลำใส่ใหญ่และป้องกันมะเร็งที่อาจะเกิดขึ้นได้ นอกจากนั้นสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยป้องกันริ้วร้อยที่เกิดจากวัยและความเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อและอวัยวะของร่างกาย หรือที่เราเรียกว่า โรคเสื่อมนั่นเอง

13. บำรุงสายตา 
เนื้อขนุน มีวิตามินและสารอาหารที่สำคัญต่อดวงตา และมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันต้อกระจกและประสาทตาเสื่อม 

14. ดีต่อผิวลดริ้วรอย
ปัจจัยทั้งเรื่องอายุที่เพิ่มขึ้นและวัยหมดประจำเดือน รังสียูวี หรือมลพิษต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายดูแก่ก่อนวัย ขนุนมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัยและลดริ้วรอย

15. โรคหอบหืด
บรรเทาอาการหอบของคนที่เป็นโรคหอบหืดได้ ปัจจุบันมีผู้เป็นโรคหอบหืดหรือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจจำนวนไม่น้อย 

16. เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง 
ขนุน อุดมไปด้วยแมกนีเซียมสร้างเสริมความแข็งแรงให้กับกระดูกและฟัน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ขนุนมีโพแทสเซียมจะเข้าไปช่วยลดการสูญเสียแคลเซียมในไตและเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก

17. ห่างไกลโรคโลหิตจาง 
ขนุน เต็มไปด้วยวิตามิน เอ ซี อี และเค มีไนอาซิน วิตามิน บี6 โฟเลต กรด pantothenic ทองแดงแมงกานีสและแมกนีเซียมที่จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือด นอกจากสามารถดูดซึมธาตุเหล็กแล้วยังสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้ด้วย

18. บรรเทาอาการหวัด
เนื่องจากอุดมด้วยวิตามินซี จึงสามารถช่วยป้องกันอาการหวัดและการติดเชื้อได้ เพียงคุณรับประทานขนุน 5 - 6 ชิ้นคุณก็จะได้รับทั้งสารต้านอนุมูลอิสระและการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

19. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ระดับน้ำตาลในเลือดสูง อาจเกิดจากการขาดแมงกานีส โดยในขนุนมีแมงกานีส (จากข้อ17) จึงช่วยลดหรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

20. ป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก
ขนุนอุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง พบว่าคนที่ได้รับแมกนีเซียมและโพแทสเซียม จะมีมวลกระดูกสูง และกระดูกแข็งแรง ถ้าสงสัยว่ามวลกระดูกตรงนี้มีผลต่อร่างกายอย่างไร ลองนึกถึงคนที่มีมวลกระดูกน้อย ๆ พออายุมากขึ้นกระดูกสันหลังจะหักทีละนิด ทำให้หลังค่อมหรือดูตัวเตี้ยลง ส่วนคนที่อายุยังน้อยเมื่อเกิดอุบัติเหตุอาจจะส่งผลให้กระดูกหักง่าย

21. ช่วยให้ต่อมไทรอยด์มีสุขภาพดี
คอปเปอร์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับขบวนการเมตาบอลิซึมของต่อมไทรอยด์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการดูดซึมและการผลิตฮอร์โมน ซึ่งขนุนก็เป็นตัวตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียวเพราะเต็มไปด้วยแร่ธาตุที่มีประสิทธิภาพต่อกระบวนการดังกล่าวและทำให้อัตราการเผาผลาญเป็นไปด้วยดีต่อสุขภาพ

23. ป้องกันโรคตาบอดกลางคืน
ขนุนเป็นประโยชน์ต่อดวงตาอย่างมากและอุดมไปด้วยวิตามินเอที่ช่วยป้องกันไม่ให้ตาบอดกลางคืนได้
(อาการตาบอดกลางคืน คือ ผู้ที่มองเห็นภาพวัตถุในที่ ที่มีแสงสลัวในที่มึดไม่ชัดเจนในช่วงแรก ก่อนที่จะปรับตาเพื่อให้เห็นชัดจะช้ากว่าปกติหรือเรียกว่า Slow dark adaptation )

24. ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ
ผลขนุนยังมีวิตามิน บี6 ที่จะช่วยลดระดับโฮโมซิสเตอีนในเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง

25. ช่วยสมานแผน
ขนุนมีคุณสมบัติในการสมานแผลที่น่าทึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการผิดปกติอื่นๆในระบบทางเดินอาหารด้วย
เครดิต  สมุนไพร+แพทย์แผนไทย

สูตรน้ำพริงแกง ต่างๆ



ตำรับเครื่องแกงส้ม
พริกเม็ดใหญ่ ๕๐ กรัม , หอมแดง ๖๐ กรัม , กระเทียมสับ ๑๐ กรัม ,พริกขี้หนูแห้ง ๕ กรัม, เกลือป่น ๑ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำตำรับดั้งเดิม
โขลกเครื่องพริกแกงส้มทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียดโดยเริ่มจากพริกแห้งเม็ดใหญ่แช่น้ำจนนิ่มกับเกลือป่นจนละเอียดตามด้วยกระเทียม หอมแดง กะปิ โขลกต่อจนละเอียด และเข้ากันได้ดี
วิธีทำตำรับยอดนิยม
โขลกเครื่องพริกแกงส้มทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียดโดยเริ่มจากพริกแห้งเม็ดใหญ่แช่น้ำจนนิ่มกับเกลือป่นจนละเอียดตามด้วยกระเทียม หอมแดง พริกขี้หนูแห้ง โขลกต่อจนละเอียด และเข้ากันได้ดี

ตำรับเครื่องแกงคั่ว
ส่วนผสม
พริกแห้ง ๑๐๐ กรัม , กะปิ ๒ ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย ๑/๒ ถ้วย , เกลือป่น ๑ ช้อนโต๊ะ
กระเทียมซอย ๑/๒ ถ้วย , ผิวมะกรูดซอย ๒ ช้อนชา
ข่าซอย ๒ ถ้วย , รากผักชีซอย ๑ ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้ซอย ๑/๒ ถ้วย , พริกไทยป่น ๒ ช้อนชา

วิธีทำ
โขลกส่วนผสมเครื่องแกงคั่วทั้งหมดให้ละเอียด โดยเริ่มจากพริกแห้งแช่น้ำจนนิ่มกับเกลือป่น จนละเอียด ตามด้วย พริกไทย รากผักชีซอย ข่าซอย ตะไคร้ซอย ผิวมะกรูดซอย จนละเอียด ตามด้วยกระเทียมซอย หอมแดงซอย กะปิ โขลกจนละเอียดและเข้ากันดี

ตำรับเครื่องแกงเผ็ด
ส่วนผสม
พริกแห้ง ๑๐๐ กรัม , กะปิ ๒ ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย ๑/๒ ถ้วย , เกลือป่น ๒ ช้อนโต๊ะ
กระเทียมซอย ๑/๒ ถ้วย , ผิวมะกรูดซอย ๒ ช้อนชา
ข่าซอย ๒ ถ้วย , รากผักชีซอย ๒ ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้ซอย ๑/๒ ถ้วย , พริกไทยป่น ๒ ช้อนชา
ลูกผักชีคั่วบด ๓ ช้อนโต๊ะ , ยี่หร่าคั่วบด ๒ ช้อนชา

วิธีทำ
โขลกส่วนผสมเครื่องแกงคั่วทั้งหมดให้ละเอียด โดยเริ่มจากพริกแห้งแช่น้ำจนนิ่มกับเกลือป่น ตามด้วยส่วนที่เป็นของแห้ง เช่น ลูกผักชีคั่วป่น ยี่หร่าคั่วป่น พริกไทยจนละเอียดเข้ากันดี ตามด้วยรากผักชีซอย ข่าซอย ตะไคร้ซอย ผิวมะกรูดซอยจนละเอียด ตามด้วยกระเทียมซอย หอมแดงซอย กะปิ โขลกต่อจนละเอียด และเข้ากันได้ดี

ตำรับเครื่องแกงเขียวหวาน
ส่วนผสม
พริกชี้ฟ้าเขียว ๑๐๐ กรัม , รากผักชี ๒ ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูเขียว ๓๐๐ กรัม , พริกไทยป่น ๒ ช้อนชา
หอมแดง ๑๕๐ กรัม , เกลือป่น ๒ ช้อนโต๊ะ
กระเทียม ๒๐๐ กรัม , กะปิ ๑ ช้อนโต๊ะ
ข่าโขลก ๑ ช้อนโต๊ะ , ลูกผักชีคั่วป่น ๒ ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้ ๕๐ กรัม , ยี่หร่าคั่วบด ๒ ช้อนชา
ผิวมะกรูด ๑ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
โขลกส่วนผสมเครื่องแกงคั่วทั้งหมดให้ละเอียด โดยเริ่มจากพริกชี้ฟ้าเขียว และพริกขี้หนูเขียวกับเกลือป่น ตามด้วยส่วนผสมที่เป็นของแห้ง เช่น ลูกผักชีคั่วป่น ยี่หร่าคั่วป่น พริกไทยจนละเอียดเข้ากันดี ตามด้วยรากผักชี ข่า ตะไคร้ มะกรูด จนละเอียด ตามด้วยกระเทียม หอมแดง กะปิ โขลกต่อจนละเอียดและเข้ากันดี

ตำรับเครื่องแกงพะแนง
ส่วนผสม
พริกแห้งเม็ดใหญ่ ๖๐ กรัม , กะปิ ๒ ช้อนโต๊ะ
หอมแดง ๑๕๐ กรัม , เกลือป่น ๒ ช้อนโต๊ะ
กระเทียม ๒๐๐ กรัม , ผิวมะกรูดซอย ๒ ช้อนชา
ข่า ๒ ช้อนชา , ลูกผักชีคั่วป่น ๓ ช้อนโต๊ะ
ตะไคร้ ๕๐ กรัม , พริกไทย ๒ ช้อนโต๊ะ
ผิวมะกรูด ๒ ช้อนชา , ยี่หร่าคั่วบด ๓ ช้อนชา
รากผักชี ๒ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
โขลกส่วนผสมเครื่องแกงคั่วทั้งหมดให้ละเอียด โดยเริ่มจากพริกแห้งเม็ดใหญ่แช่น้ำจนนิ่มกับเกลือป่น ตามด้วยส่วนที่เป็นของแห้ง เช่น ลูกผักชีคั่วป่น ยี่หร่าคั่วป่น พริกไทยจนละเอียดเข้ากันดี ตามด้วยรากผักชี ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูดจนละเอียดตามด้วยกระเทียม หอมแดง กะปิ โขลกต่อจนละเอียด และเข้ากันได้ดี

ตำรับเครื่องแกงกะหรี่
ส่วนผสม
พริกแห้งเม็ดใหญ่ ๑๐๐ กรัม , กะปิเผา ๔๕ กรัม
หัวหอมเผา ๑๐๐ กรัม ล ขิงเผา ๒ ช้อนโต๊ะ
กระเทียมเผา ๑๕๐ กรัม , ลูกผักชีคั่วป่น ๓ ช้อนโต๊ะ
ข่าเผา ๒ ช้อนชา , ยี่หร่าคั่วป่น ๒ ช้อนชา
ตะไคร้ ๕๐ กรัม , ผงกะหรี่ (ตราปืนไขว้) ๔ ช้อนชา
ลูกกระวาน ๖ ลูก , สีผสมอาหาร (สีเหลือง) ๑ ช้อนชา , รากผักชี ๘๕ กรัม อบเชย ๑ ช้อนชา
เกลือป่น ๓ ช้อนชา

วิธีทำ
โขลกส่วนผสมเครื่องแกงคั่วทั้งหมดให้ละเอียด โดยเริ่มจากพริกแห้งเม็ดใหญ่แช่น้ำจนนิ่มกับเกลือป่น ตามด้วยส่วนที่เป็นของแห้ง เช่น ลูกผักชีคั่วป่น ยี่หร่าคั่วป่น พริกไทย ลูกกระวาน อบเชย และผงกะหรี่ จนละเอียดเข้ากันดี ตามด้วยรากผักชี ข่า ตะไคร้ ขิงเผา จนละเอียด ตามด้วยกระเทียม หอมแดง กะปิ โขลกต่อจนละเอียด และเข้ากันได้ดีถ้าสีไม่สวยใส่สีผสมอาหารเพิ่ม

ตำรับเครื่องแกงมัสมั่น
ส่วนผสม
พริกแห้ง ๑๐๐ กรัม , พริกไทยป่น ๒ ช้อนชา
หอมแดงซอย ๑/๒ ถ้วย , ลูกผักชีคั่วป่น ๔ ช้อนโต๊ะ
กระเทียมซอย ๑/๔ ถ้วย , ยี่หร่าคั่วป่น ๒ ช้อนชา
ข่าซอย ๒ ช้อนชา , กานพลูคั่วป่น ๑/๒ ช้อนชา
ตะไคร้ซอย ๑/๒ ถ้วย ,ลูกจันทร์คั่วป่น ๑/๒ ช้อนชา
ผิวมะกรูดซอย ๒ ช้อนชา ,อบเชยคั่วป่น ๑/๒ ช้อนชา
รากผักชีซอย ๒ ช้อนโต๊ะ ลูกกระวานคั่วป่น ๑/๒ ช้อนชา
เกลือป่น ๔ ช้อนชา ดอกจันทร์ ๑๒ กรัม
กะปิเผา ๒ ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
โขลกส่วนผสมเครื่องแกงคั่วทั้งหมดให้ละเอียด โดยเริ่มจากพริกแห้งเม็ดใหญ่แช่น้ำจนนิ่มกับเกลือป่น ตามด้วยส่วนที่เป็นเครื่องเทศ เช่น ลูกผักชีคั่วป่น ยี่หร่าคั่วป่น พริกไทย ฯลฯ จนละเอียดเข้ากันดี ตามด้วยรากผักชี ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด จนละเอียด ตามด้วยกระเทียม หอมแดง กะปิเผา โขลกต่อจนละเอียด และเข้ากันดี นำเครื่องแกงไปผัดกับน้ำมันจนหอม


ขอบคุณข้อมูล http://valuablebook2.

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

พืชที่ควรมีติดบ้านไว้ใช้เป็นยาได้ยามฉุกเฉิน



1.ขิง
~สมุนไพรรสร้อนแรงแต่ดีกับสุขภภาพนัก
กินไล่หวัดได้ดี เหมาะกับบำรุงร่างกายใน
หน้าฝนและหน่าหนาว น้ำขิงอุ่นๆจะช่วย
ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืดท้อง
เฟ้อ อาหารไม่ย่อย แก้เมารถ ไมเกรน ปวด
ตามข้อ ลดคลอเรสเตอรอลได้ดีด้วย
~สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหัวแก่หัวอ่อน เหง้า
อ่อนใช้ปรุงอาการคาวหวานดับกินคาวได้ดี
จะกินเป็นเครื่องเคียงก็ได้ ส่วนขิงแก่มักนำ
มาทำน้ำขิงรับทาน
2.สะระแหน่
~เรามักรู้จักมิ้นของฝรั่ง เราก็ควรรู้จัก
สะระแหน่เพราะเป็นพืชตระกูลเดียวกัน
~กลิ่นของสะระแหน่จะเย็นๆ มีสรรพคุณ
เป็นยาเย็นใช้ดับร้อนได้ดี ถอนพิษไข้ ขับ
ลม ขับเหงื่อ ลดอาการเครียด ใบสดของสะ
ระแหน่สามรถนำมาบดใช้ทาผิวให้ชุ่มชื่น
ได้ แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย ไล่ยุงและบรร
เทาอาการปวดได้ดีกว่ายาแก้ปวดซะอีก
~เรามักพบสะระแหน่มากในอาหารประเภท ยำ ลวก ลาบ น้ำตก หรืออาหารสลัดก็
เพื่อบรรเทาอาการเผ็ดร้อนนั้นเอง
3.แมงลัก
~หลายคนรู้จักดีเพราะแมงลลักเป็นสูตรผสมของอาหารลดความอ้วนจริงๆ แล้ว
สรรพคุณของเจ้าแมงลักนี้ยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายเพราะเมือกสีขาวรอบเมล็ดจะทำให้อุจระอ่อนตัวลง ช่วยขับพิษในลำไส้ นอก
จากนี้ในใบอ่อนมีแคลเซียมสูง บำรุงกระดูก
ได้ดี
4.กระเพรา
~ใครชอบกินผัดกาะเพา บ้างน้อยคนนักที่
จะไม่รู้จักแทบทุกคนต้องเคยทานอาหารจานด่วนเมนูนี้ รู้หรือไม่ว่าใบกระเพาะเป็น
แหลงฟอสฟอรัสและวิตามินเอในปริมาณ
สูง ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร
แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ กระตุ้นการขับน้ำดี
ช่วยย่อยไขมันลดการจุกเสียด ป้องกันโรค
มะเร็ง หัวใจขาดเลือด ช่วยขัน้ำนมให้สตรี
หลังคลอด น้ำคั้นจากใบช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ ขับเสมหะ ทาผิวแก้กลากเกลื้อน
คั้นเอาน้ำหยอดหูแก้ปวดหู ใบสดขยี้ให้มี
กลิ่นไล่แมลลงได้ หรือไว้ทาหูดก็ดี นอก
จากนั้นถ้านำมาต้มสามารถดื่มบรรเทาอา
การคลื่นไส้ อาเจียนได้
5.โหระพา
~ผักอื่นที่ให้ความร้อนแรง แต่อุดมไปด้วย
แคลเซียมและเบต้าแคโรทีน มีส่วนผสมในการป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด มะเร็ง ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืด ทอ้ง
เฟ้อ ขับลมในลำไส้ แก้หวัด ขับเหงื่อ ถ้า
นำเมล็ดไปแชน้ำจะนำมารักษาโรคบิดได้
ช่วยให้ลำไส้หล่อรื่นขึ้น โหระพาอยู่ในอา
หารพวกแกง ผัด ทอด หรือจะกินสดก็ได้
6.กระชาย
~สรรพคุณขับปัสวะ กลิ่นหอมแรง ขับ
ฤดูขาว บำรุงร่างกาย ขับลมได้ดี ใช้เหง้าสดทุบพอแตกต้มน้ำดื่มแก้ท้องอืด
ท้องเฟ้อ บ้างว่าสามารถกระตุ้นสมรรถภาพ
ทางเพศได้ด้วย โดยมีชื่อเรียกว่า"โสมไทย"
7.ตะไคร้
~หลายคนชอบดื่มน้ำตระไคร้เพราะมีรสชาติเผ็ดนิดๆอีกทั้งยังเป็นส่วนผสมสำคัญใน
ต้มยำอีกด้วย
คุณประโยชน์
~บำรุงธาตุ แก่ทางเดินปัสสวะ นิ่ว ขับลมในลำไส้ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้โรค
หืด อหิวาตกโรค บำรุงสมอง แก้เกลื้อน
ที่สำคัญปลูกไว้รอบๆบ้าน จะสามารถไล่ยุง
ได้ด้วยค่ะ
8.ข่า
~ใช้เป็นไม้ประดับก็ดี แถมกินได้ประโยชน์
เรามักกินตอนที่มันยังอ่อน หน่ออ่อนๆหรือช่อดอกอ่อนๆก็นำมากินกับ
น้ำพริก รสชาติเผ็ดปร่า เหง้าใช้ทำเครื่อง
แกงหรือเครื่องต้มยำ
~ข้อดีของข่า ขับลมไม่ให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
แก้จุกเสียด โรคกระเพาะ ลดไขมัน แก้หลอดลมอักเสบ และยังเป็ยาระบาย
อ่อนๆด้วย
9.พริก รสชาติร้อนแรงจัดจ้าน
~มีสาระสำคัญที่เรียกว่า"แคปไซซิน(Capsaicin) จะกระตุ้นการหลั่งน้ำลาย ช่วยเจริญอาหาร เลือดไหลเวียนได้ดี ช่วย
ขับลม แก้หวัด ขับเหงื่อ ป้องกันเส้นเลือด
ตีบตัน ต้อกระจกและมะเร็งบางชนิด
10.มะกรูด
~เรามักเคยได้ยินว่ามะกรูดนำมาสระผมได้
แก้รังแคและคันศรีษะ ทำให้ผมดกดำเงา
งาม แต่ถ้าเราสามารถนำมากินแก้ไอ แก้เจ็บคอ ใช้แทนยาสีฟัน ทำให้เหงือกแข็ง
แรง กลิ่นของมะกรูดจะช่วยดับกลิ่นคาว
ของอาหาร ช่วยไล่มดแมลงและมอดในถัง
ข้าวได้ด้วย นอกจากนี้ถ้าเรานำมะกรูดมาตากแห้งแล้วบดเป็ดยาผง จะเป็นยาบำรุงเลือดและยาระบายได้ดีด้วย
ค่ะลองหันมาเอาพืชผักเป็นยาเพื่อสุขภาพทีดีและพ้นจากโรคภัยกันนะค่ะ
(แหล่งที่มา กระทรวงสาธารณะสุข
โดยเพจ แพทย์ทางเลือกสายพุทธ)

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

ผงชูรสฆ่าคน !!! ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเลยแม้แต่นิดเดียว




ผงชูรสฆ่าคน !!!

เพื่อนๆทราบมั๊ยค๊ะว่า ในการผลิตผงชูรสทั้งแบบก้อนและแบบผลในประเทศไทยใช้แป้งมันสำปะหลังและกากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลัก แต่แหล่งข่าวที่ผมรู้จักยืนยันว่ามันมีอะไรแปลกๆ มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบที่มาจากกระดูกสัตว์ อย่างกระดูกวัว กระดูกควาย โซดาไฟ และปุ๋ยยูเรีย ก็คิดดูเองสิว่าทำไมของเหลวที่เกิดจากกระบวนการผลิต ทำไมยังสามารถนำไปขายให้เกษตรกรไปเป็นปุ๋ยน้ำ รดไร่นาจนพืชขึ้นเขียวขจี (แต่กลายพันธุ์ด้วยหรือเปล่าไม่รับรองนะ) ก็ลองสังเกตุดูสิว่าคนงานในโรงงาน และชุุมชนที่อาศัยอยู่รอบๆ โรงงานผลิตผงชูรสถึงมีอาการอิดโรย ป่วยกระเสาะ กระแสะกันทั้งชุมชน เพื่อนๆ ผมที่อยู่โรงงานผลิตผลชูรส เขายังไม่กินผงชูรสเลย แต่ถ้าเขาจะนำผลชูรสผสมน้ำอุ่นแล้วไปขัดห้องน้ำ ขัดหม้อ ที่มีเขม่าดำ ขัดหัวเข็มขัดทองเหลือง ขัดสร้อยเงิน แช่เหรียญเก่า หรือแช่พระกรุ ก็ไม่แน่เพราะผมเคยลองขัดดูแล้วเวิร์กมากๆ ถ้าไม่เชื่อท่านผู้อ่านลองดูเองนะครับ

จริงๆ แล้วผงชูรส ไม่มีประโยชน์ทางโภชนาการเลยแม้แต่นิดเดียว “ผงชูรส มีประโยชน์เพียงทำให้อาการมีรสชาติโดยรวมดีขึ้น ต้องใส่ในปริมาณเหมาะสม ”

อันตรายของผงชูรสถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ

1).พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากเกลือโซเดียม กล่าวคือผงชูรสมีโซเดียมที่มาจากโซดาไฟ เป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นเดียวกับเกลือแกง แต่อันตรายมากกว่าเกลืองแกงตรงที่ว่าเกลือแกงใช้เพียงนิดเดียวก็รู้สึกว่ามีรสเค็ม แต่ผงชูรสใส่มากเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัวว่ามีปริมาณโซเดียมมากเท่าไหร่ เพราะไม่มีรสเค้าให้รู้สึก หรือพูดอีกนัยหนึ่งผลชูรสมีพิษแฝงในเรื่องโซเดียว ซึ่งมีพิษภัยอันตรายดังนี้

1.1) ทำให้ภูมิต้านทานหรือภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ลดลง ถึงแม้ผลชูรสจะไม่ทำให้ใครเป็นเอดส์ แต่มันทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง ยิ่งถ้าคนป่วยเป็นเอดส์มาทานอาหารทีาใส่ผงชูรสยิ่งทำให้ตายเร็วกว่าที่ควรเป็นครับ

1.2) ทำให้เกิดการคลั่งในสมองเด็ก ซึ่งเมื่องเด็กโตขึ้นจะเป็นคนปัญญาอ่อน ในปัจจุบันมีเด็นปัญญาอ่อนเพ่ิมมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่มีผงชุรสแพร่หลายในประเทศไทย ผงชูรสทำให้เด็กทารกเกิดอาการชักโคม่า ซึ่งบางครั้งแพทย์ไม่รู้สามเหตุ อาจทำให้รักษาผิดพลาดเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ยังเป็นภัยต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้ร่างกายบอมและยังมีพิษภัยต่อทารกในครรภ์และทารกแรกเกิดด้วย

1.3) ผงชูรสเป็นอันตรายต่อผู้เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ อาทิ เช่น โรคไต ความดันสูง และโรคหัวใจเป็นต้น

2.)พิษภัยและอันตรายที่เกิดจากตัวผงชูรสแท้ ส่งผลดังนี้

2.1)ทำให้เกิดอาการแพ้ผงชูรส ซึ่งจะมีอาการชา และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า โหนกแก้วต้นคอ หน้าอก บางคนมีผื่นแดงเกิดขึ้นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้าลง หายใจไม่สะดวก เป็นต้น จนเป็นที่รู้จักและขนานนามโรคแพ้ผงชูรสในภัตตาคารจีน

2.2)ทำลายสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตและระบบสืบพันธุ์ของร่างกาย ทำให้เจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน ระบบสืบพันธุ์ผิดปกติ เป็นหมัน อวัยวะสืบพันธุ์เล็กลง ทั้งในเรื่องของขนาดและน้ำหนัก

2.3)ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ทดลอง ยิ่งอายุน้อย จะยิ่งเกิดผลร้ายมาก

2.4)ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย ทำให้โลหิตจากได้

2.5)ทำให้วิตามินในร้างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 แก้โรคแพ้ผงชูรสได้

2.6)เกิดโรคมะเร็ง

2.7)ทำลายระบบประสาทส่วนกลางทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น

2.8)เปลี่ยนแปลงโครโมโซม ทำให้ผิดปกติ ปากแหว่ง หูแหว่ง และจมูกวิ่น แขนขาพิการ เป็นต้น

แต่ถึงเห็นพิาภัยขนาดนี้ประชาชนตาดำๆ อย่างเราคงจะหลีกเลี่ยงผลชูรสได้ยาก เพราะตั้งแต่ภัตตาคารใหญ่ๆ จนไปถึงร้านข้างถนนยังขาดความรู้เรื่องโทษจากผงชูรส เรามาเริ่มต้นจากบ้านของเรา และช่วยกันรณรงค์เรื่องพิษภัยของผงชูรสกันดีกว่าค่ะ



ขอบคุณที่มากจาก หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ
คอลัมม์ ภาคภูมิ ชวนคิด
ดร.ภาคภูมิ เตชสกุลฤทธิ์

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

ต้มปลาไม่ให้มีกลิ่นคาว


ปลา เป็นเป็นเนื้อสัตว์ที่มีคุณประโยชน์มากมาย เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ซึ่งช่วยบำรุงสมอง ช่วยลดความเครียด ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ แต่เวลาต้มทีไรก็มักจะมีกลิ่นคาวเหลืออยู่ เรามีวิธีดับกลิ่นคาวของปลามาฝากค่ะ...

ระหว่างต้มปลาให้ใส่ใบชาจีน ประมาณ 6-7 ใบลงไปในหม้อ แต่อยากให้รสชาติของปลาดีขึ้น ให้ใส่หอมแดงทุบใส่ลงไป ประมาณ 2-3 หัว ค่ะ เพียงเท่านี้ปลาต้มของเพื่อนๆ  ก็จะไม่มีกลิ่นคาวแล้วค่ะ

หมูเส้นทอดกระเทียมพริกไทยสูตรง่ายๆตามเคย..มาลองทำกัน



หมูสันคอหั่นเป็นเส้น/ซอสหอยนางรม/ซอสปรุงรส/ซีอิ้วขาว/น้ำตาลนิดหน่อย/พริกไทยเม็ดบดละเอียด/กระเทียมบุบพอแตกแยกไว้สองส่วน/แป้งสาลี
...เอาหมูมาใส่เครื่องหมักทุกอย่างยกเว้นแป้งสาลี
...หมักไว้20นาที
...ตั้งกระทะใส่น้ำมันเยอะพอควรให้ร้อน
...เอาหมูที่หมักเสร็จมาใส่ผงแป้งสาลีหมูครึ่งกิโลใส่แป้ง2ช้อนโต๊ะแล้วนวดให้เข้ากัน...เอาลงทอดทันที..เราใส่แป้งลงไปเพื่อให้หมูกรอบและไม่ให้น้ำในตัวเนื้อมันแห้งเกินและไม่ติดกระทะด้วยทอดให้เหลืองแบ้วเร่งไฟแรงเพื่อรีดน้ำมันออก..
...เอากระเที่ยมส่วนที่เหลือมาคลุกผงแป้ง..ร่อนแป้งออกให้หมดแล้วลงทอดต่อให้เหลืองกรอบ..เสร็จแล้วตักขึ้นพักไว้เราจะอาตรงนี้โรยหน้า
เสร็จละหมูทอดแบบง่ายๆแถมอร่อยด้วย..กินกับซอสพริกอร่อยสุดๆ

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

ผัดใบยี่หร่ากับเนื้อสับ


มื้อนี้มาชวนเพื่อนๆผัดใบยี่หร่ากับเนื้อวัวสับค่ะ ถ้าไม่ทานเนื้อวัวก็เปลี่ยนเป็น เนื้อหมูหรือปลาดุกก็อร่อยค่ะ
  



เตรียมเครื่องน้ำพริกสำหรับผัดนะคะ
 
ใส่ พริกแห้ง หอม กระเทียม ข่า ตะไคร้ กะปิ และเกลือ 
ใบยี่หร่า
เนื้อสันสับ ถ้าเพื่อนๆไม่ทานเนื้อวัวจะเปลี่ยนเป็นเนื้อหมู หรือปลาดุกก็อร่อยดีค่ะ
น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ
น้ำมันพืช เปลี่ยนยี่ห้อบ่อยๆก็ดีนะคะ เค้าบอกว่าอย่าทานอะไรซ้ำซาก
เพราะร่างกายจะได้รับสารชนิดนั้นๆมากเกินไป 
พริกไทย เตรียมเครื่องน้ำพริกสำหรับผัด..ปริมาณเท่าที่เห็นนี่แหละค่ะ
ถ้าไม่อยากให้เผ็ดก็เอาเมล็ดพริกออกนะคะ
โขลกน้ำพริกแค่หยาบๆ และเก็บน้ำล้างก้นครกเอาไว้ด้วย
(เคล็ดลับนะคะ....อร่อยแน่ๆค่ะ :)


เด็ดใบยี่หร่า หั่นข่าอ่อน ...เพิ่งจะขุดขึ้นมาใหม่ๆ...คนแก่กินข่าอ่อน ...ฮา!!!
พริกไทยของเราเองภูมิใจมากค่ะ และเพิ่มสีสันด้วยพริกชี้ฟ้าแดงค่ะ
ทุกอย่างพร้อมที่จะลงกระทะแล้วค่ะ




ใส่น้ำมันในกระทะตั้งบนไฟกลางค่อนข้างอ่อน ตักน้ำพริกใส่ลงไปผัดให้หอม
 ระวังอย่าใช้ไฟแรงเดี๋ยวน้ำพริกจะไหม้ค่ะ
แล้วใส่เนื้อสับลงไปผัดคลุกเคล้าให้เข้ากับน้ำพริกแกง ...กลิ่นหอมฟุ้งเชียวค่ะ
พอเนื้อใกล้จะสุกจึงเติมน้ำปลา น้ำตาล และเติมน้ำล้างก้นครก....อย่าลืมนะคะ ...อิอิ!!!
คนให้เข้ากันแล้วชิมรสให้ถูกปากถูกใจ
ใส่พริกชี้ฟ้า พริกไทยและข่าอ่อน คลุกให้เข้ากัน



ใส่ใบยี่หร่าลงไปผัดคลุกเคล้าแค่ให้ใบสลบนะคะ
ใบยี่หร่าโดนความร้อนสลบแล้ว!!!!!
ตักใส่จานเสิร์ฟร้อนๆค่ะ
ผัดจานนี้อุดมไปด้วยสมุนไพร ทานแล้วร่างกายแข็งแรงนะคะ


มาทำน้ำพริกกุ้งสด กินกันดีกว่า



 ส่วนประกอบ
1. กุ้ง 7-10 ตัว ปอกเปลือกออกให้หมด ลวกด้วยน้ำเกลือ
2. กะปิอย่างดีห่อใบตองย่างให้หอม  1+ 1/2 ช้อนโต๊ะ (หรือประมาณ 80 กรัม).
3. กระเทียมตัดหัวท้าย ลอกเปลือกแข็งๆ ออก 10 กลีบ (ประมาณ 50 กรัม) 
4. พริกขี้หนูสวนสีแดงเขียว  8-10 เม็ด (ปรับเพิ่ม/ลด ตามความชอบ)
5. มะเขือพวงเด็ด  50 กรัม
6. หอมแดง 2 ลูก (ไม่ใส่ก็ได้ รสชาติไม่ต่างกันมาก)
7. ไข่ต้ม, ผักสดหรือผักนึ่งสำหรับทานกับน้ำพริก (ถั่วฝักยาว, กะหล่ำปลี, แตงกวา, อื่นๆ)
... เครื่องปรุง
น้ำตาลปี๊บ  ½   ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว  2-3  ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา  1-2  ช้อนโต๊ะ
***ปริมาณน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำตาล อาจจะต้องใช้มากหรือน้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับความเค็มของกะปิ  ความหวานของน้ำตาลและขนาดตัวกุ้งด้วยนะครับผม
... วิธีทำทีละขั้นตอน
1. นำกุ้งปอกเปลือก เด็ดหัวทิ้ง แล้วลวกด้วยน้ำเกลือต้มเดือดจนสุก (เพื่อดับคาว) จนกุ้งออกสีชมพู นำออกมาสะเด็ดน้ำ พักไว้
2. นำกะปิห่อด้วยใบตอง ย่างไฟ เพื่อเพิ่มความหอม
3. นำพริกขี้หนู, หอมแดง และกระเทียมไปคั่วในกระทะด้วยไฟอ่อน จนสุกหอม จากนั้นจึงนำไปตำในครกพร้อมกะปิและเนื้อกุ้งสัก 4-5 ตัว จนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
4. จากนั้นใส่มะเขือพวงลงไป โขลกย้ำเบาๆ แค่พอมะเขือพวงแตก
5. ปรุงรสด้วยน้ำตาล, น้ำปลาและน้ำมะนาว 
6. สุดท้ายนำกุ้งที่เหลือ ใส่ลงไป โขลกทุกอย่างเบาๆ (ไม่ต้องให้กุ้งเละ) คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นเติมน้ำอุ่นลงไปเล็กน้อยไม่ต้องมาก (เพื่อปรับความข้น) เพียงเท่านี้ก็เป็นอันว่า เสร็จเรียบร้อย
7. ตักน้ำพริกใส่ถ้วย เสริฟพร้อมผักสด (หรือผักนึ่ง), ไข่ต้มและข้าวสวยร้อนๆ และที่ขาดไม่ได้เลยต้องชะอมชุบไข่ทอด ทานคู่กันกับน้ำพริกกุ้งสดอร่อยแซ่บหลายๆ นะครับผม

ชวนชิมปูม้าสด ของขึ้นชื่อเมืองชะอำ ในงาน “เทศกาลชิมปูชัก@ชะอำ”

ชวนชิมปูม้าสด ของขึ้นชื่อเมืองชะอำ ในงาน “เทศกาลชิมปูชัก@ชะอำ”
ปูม้านึ่งเนื้อแน่น
        การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเพชรบุรี ชวนนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบอาหารทะเลโดยเฉพาะเมนูปูม้า สดๆ รสชาติอร่อย ในงาน “เทศกาลชิมปูชัก@ชะอำ ครั้งที่ 5” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 22 มีนาคม 2558 ณ จุดชมวิวชายหาดชะอำ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี 
      
       เนื่องจาก ชะอำเป็นเมืองชายทะเลที่มีกลุ่มอาชีพชาวประมงพื้นบ้านออกเรือไปหาปู เป็นกลุ่มชุมชนหลายกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มชุมชนบ้านคลองเทียนและสะพานหิน จะใช้คลองสะพานหิน เป็นที่จอดเรือหลบคลื่น และใช้พื้นที่ริมคลองขายปูสดๆ ที่จับมาได้เอง โดยมีวิธีการรักษาความสดของปูด้วยการจับใส่ถุงตาข่ายผูกเชือกห้อยลงไปในคลองกับราวสะพานเหล็กเล็กๆ ที่ยกเปิด-ปิดได้ ซึ่งชาวบ้านใช้สัญจรข้ามคลอง และเมื่อมีลูกค้ามาหาซื้อปู บรรดาคนขายปูก็จะไปชักถุงตาข่ายปูขึ้นมาเสนอขาย จนเป็นที่มาของชื่อ “ปูชัก” หนึ่งเดียวในเมืองไทย และด้วยความสดใหม่ เนื้อแน่น รสชาดที่หวานอร่อยของปูม้าชะอำ จนเป็นที่ขึ้นชื่อของผู้ที่ได้มาชิมว่า มาชะอำต้องหาปูม้าชะอำรับประทาน ประกอบกับในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นช่วงที่ชาวประมงพื้นบ้านสามารถจับปูม้าในทะเลได้มาก รวมทั้งเทศบาลเมืองชะอำยังได้ส่งเสริมการอนุรักษ์พันธุ์ปูม้าด้วยการมอบพันธุ์ปูม้าให้กับชาวประมงเพื่อนำไปปล่อยในทะเลเป็นประจำ และสนับสนุนการจัดตั้งธนาคารปูม้าของชุมชน เพื่อเป็นการแพร่พันธุ์ปูม้าในท้องทะเลชะอำให้มากขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมอาชีพชาวประมงพื้นบ้านที่ออกเรือไปหาปูให้คงอยู่ตลอดไป
ชวนชิมปูม้าสด ของขึ้นชื่อเมืองชะอำ ในงาน “เทศกาลชิมปูชัก@ชะอำ”
ปูม้าที่ถูกชักขึ้นมา
        นายนุกูล พรสมบูรณ์ศิริ นายกเทศมนตรีเมืองชะอำ ผู้ตั้งชื่อ “ปูชัก” ตามลักษณะการขายปูของชาวประมงพื้นบ้าน จึงมีแนวคิดที่จะจัดงาน เทศกาลชิมปูม้าที่ชะอำขึ้น ภายใต้ชื่องาน “เทศกาลชิมปูชัก@ชะอำ ซึ่งปีนี้ได้กำหนดจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 5 ทั้งนี้ นอกจากจะเป็นการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การทองเที่ยวของชะอำแล้ว ยังเป็นการช่วยอนุรักษ์พันธุ์ปูม้าและรักษาเอกลักษณ์ของวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้านให้คงอยู่ต่อไป
      
       กิจกรรมภายในงานประกอบด้วยการออกร้านจำหน่ายอาหารทะเลสด โดยเน้นเมนูปูม้าสดของชาวประมงพื้นบ้านชะอำ การสาธิตวิธีการรักษาความสดของปูพร้อมการนำเสนอขายของชาวประมงพื้นบ้านด้วยการ “ชักปู”หนึ่งเดียวในเมืองไทย กิจกรรมการแสดงของดาราศิลปินบนเวที และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นบนถนนคนเดินชายหาดชะอำ และการแข่งขันจับปูเป็นๆ ทุกวัน ตลอดทั้ง 9 คืน
      
       สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เทศบาลเมืองชะอำ โทร. 0 3247 1665 หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเพชรบุรี โทร.0 3247 1005 - 6 , Facebook : Tat Phetchaburi