วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

อาหาร 20 อย่างที่สามารถรับประทานได้ในช่วงลดน้ำหนัก

าหาร 20 อย่างที่สามารถรับประทานได้ในช่วงลดน้ำหนัก
แคลอรี่ต่ำและช่วยระบบเผาพลาญ



ในช่วงลดน้ำหนัก หลายๆคนอาจจะคิดว่า กินอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำๆเข้าไว้ จะได้ไม่อ้วน แต่ความจริงนอกจากอาหารแคลอรี่ต่ำแล้ว ยังควรรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในระบบการเผาผลาญของร่างกายประกอบด้วย

ในบทความนี้ก็มี อาหาร 20 อย่างที่สามารถรับประทานได้ในช่วงลดน้ำหนัก ซึ่งนอกจากจะมีอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำแล้ว ยังมีอาหารจำพวกที่ช่วยในเรื่องระบบเผาผลาญ และฮอร์โมนของร่างกายอีกด้วยค่ะ ลองทำทาน หาทานกันดูนะคะ

1. ไข่





2. ผักใบเขียว





3. แซลม่อน





4. ผักตระกูลกะหล่ำ





5. เนื้อไม่ติดมัน และอกไก่





6. มันฝรั่งต้ม





7. ทูน่า





8. พืชตระกูลถั่ว





9. ซุป






10. เนยแข็งคอทเทจ (cottage cheese)





11. อโวคาโด้





12. น้ำส้มสายชูที่หมักจากแอปเปิ้ล (apple cider vinegar)






13. ถั่วกินเล่น





14. โฮลเกรน





15. พริก





16. ผลไม้





17. เกรปฟรุต





18. เมล็ดแมงลัก





19. น้ำมันมะพร้าว





20. โยเกิร์ต





วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

ใครชอบกินปลาแซลมอน ...ควรอ่านอย่างยิ่ง...


ใครชอบกินปลาแซลมอน ...ควรอ่านอ

ผมเป็นคนชอบกินปลาครับ
ปลาในดวงใจที่ชอบก็คือปลาจะละเม็ด ปลาทู และปลาแซลมอน
จำได้ว่ากินปลาแซลมอนครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนในต่างแดน อาหารเย็นมื้อนั้นเพื่อนฝรั่งพาไปกินปลาแซลมอนรมควัน ผมยังนึกสงสัยอยู่ในใจว่า ปลาอะไรหนอ เนื้อสีส้มอมชมพูแสนสวย พอได้ชิมเนื้อปลาแล้วก็เริ่มติดใจในรสชาติขึ้นมา เมื่อกลับมาเมืองไทยก็ยังหาโอกาสกินปลาแซลมอนบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก เพราะตอนนั้นราคาปลาแซลมอนในเมืองไทยจัดว่าค่อนข้างแพง
นาน ๆ ครั้ง เพื่อนพาไปกินอาหารญี่ปุ่น อันดับแรกที่ต้องสั่งคือซาชิมิปลาแซลมอนจิ้มวาซาบิ เพื่อนสั่งปลาดิบมาให้กินกี่จาน ๆ ก็กินหมดจนพุงกาง หากวันไหนเพื่อนพาไปร้านอาหารฝรั่ง ก็จะต้องสั่งปลาแซลมอนรมควัน จนกลายเป็นอาหารจานโปรดไปเสียแล้ว
เพื่อนผมเคยบอกว่า สงสัยชาติที่แล้วผมคงเกิดเป็นหมีสีน้ำตาลแถวอะแลสกา ที่ชอบกินป! ลาแซลมอนตามลำธารเวลาที่มันอพยพขึ้นมาวางไข่
ผมชอบกินปลาแซลมอนเพราะเนื้อไร้กลิ่นคาว เวลาเคี้ยวก็รู้สึกได้ถึงความลื่นมัน ได้รสธรรมชาติแสนเอร็ดอร่อย และต้องกินแบบไม่ปรุงแต่ง ถ้าเอาปลาไปนึ่งหรือทอด รสชาติก็สู้กินแบบดิบ ๆ ไม่ได้
จนกระทั่ง ๔-๕ ปีให้หลัง ผมสังเกตเห็นว่ามีการนำเนื้อปลาแซลมอนเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรามากขึ้น ราคาก็ไม่แพงเหมือนในอดีต สมัยก่อนอาจมีจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เกตชั้นนำไม่กี่แห่ง แต่ตอนนี้ตลาดติดแอร์แทบทุกแห่งจะมีเนื้อปลาแซลมอนวางขาย เคียงคู่กับเนื้อปลากะพง ปลาเก๋า ในราคาไม่แตกต่างกัน และดูเหมือนว่าจะถูกกว่าเนื้อปลาจะละเม็ดเสียอีก
กล่าวคือเนื้อปลาแซลมอนที่เคยขายกันกิโลกรัมละ ๗๐๐-๘๐๐ บาท บัดนี้เหลือเพียงกิโลกรัมละ ๓๐๐-๔๐๐ บาท ขณะที่เนื้อปลาจะละเม็ดขนาดใหญ่ยังคงยืนราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ ๔๐๐-๕๐๐ บาทขึ้นไป
เมื่อเห็นว่าปลาแซลมอนส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศทางยุโรป ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก วันไหนพอมีเวลาก็แวะซูเปอร์มาร์เกตซื้อปลาแซลมอนมากินเล่น พลางดูรายการสารคดีชีวิ! ตปลาแซลมอนที่ต้องว่ายน้ำข้ามทะเลหลายพันไมล์เพื่อขึ้นมาวางไข่ออกลูกหลาน ที่ต้นลำธาร ดูแล้วก็นึกเอาเองว่าปลาแซลมอนที่เรากินคงต้องเป็นปลาที่พลานามัยแข็งแรงแน่ แถมยังอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมกา-๓ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันโรคหัวใจ อย่างนี้จะไม่ให้หลงใหลแซลมอนอย่างไรไหว
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเหลือบไปเห็นบทความเกี่ยวกับปลาแซลมอนในวารสาร ecologist ฉบับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ก็ตาสว่างขึ้นทันที
ปลาแซลมอนที่เรากินก็คงไม่ต่างจากกุ้งกุลาดำในฟาร์มเลี้ยง ที่เราส่งไปขายเมืองนอกจนติดอันดับโลก คือถูกเลี้ยงให้เติบโตมาด้วยการใช้สารเคมีและอัดยาเยอะ ๆ
ปลาแซลมอนที่ส่งมาขายบ้านเราส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเลี้ยงปลาในยุโรป ปลาแซลมอนเหล่านี้อุดมไปด้วยเชื้อโรค เจ้าของฟาร์มจึ! งต้องใส่สารเคมีและยาปฏิชีวนะลงในบ่อปลา เพื่อกำจัดแมลงรบกวนและเชื้อโรคหลายอย่าง
ปลาแซลมอนในธรรมชาติมีเนื้อเป็นสีชมพู เพราะมันกินพวกกุ้งตัวเล็ก ๆ และพืชทะเล ปลาแซลมอนในฟาร์มก็มีเนื้อสีชมพูน่ากินเช่นกัน แต่เป็นเพราะมันกินอาหารปลาที่มีสารให้สีจำพวก astaxanthin และ canthaxanthin ชนิดเข้มข้น ซึ่งหากมนุษย์ได้รับสารเหล่านี้มากเกินไป อาจจะมีผลต่อระบบประสาทตา
นอกจากนี้ เนื้อของปลาแซลมอนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังยังอุดมไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีผลต่อการอุดตันของเส้นเลือด แถมยังมีกรดไขมันโอเมกา-๓ น้อยกว่าปลาแซลมอนในธรรมชาติถึง ๓ เท่า ดังนั้นหากบริโภคแซลมอนจากฟาร์มเหล่านี้มากเกินไปก็อาจส่งผลให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้
ในสหรัฐอเมริกายังมีการวิจัยพบว่า เนื้อปลาแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยงมีสารก่อมะเร็งที่มาจากอาหารปลาในระดับที่สูงกว่าปลาแซลมอนจากธรรมชาติถึง ๑๖ เท่า มากกว่าเนื้อวัว ๔ เท่า ไม่นับรวมว่าปลาแซลมอนบางตัวมีพยาธิทะเลอาศัยอยู่ด้วย
ทุกวันนี้การเลี้ยงปลาแซลมอนกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพราะมีความต้องการที่สูงขึ้นทั่วโลก
เมื่อไทยส่งกุ้งกุลาดำตีตลาดยุโรป ฝรั่งก็ส่งปลาแซลมอนมาเป็นบรรณาการบ้าง
ทั้งสองล้วนเป็นอาหารยอดฮิต และอุดมไปด้วยสารเคมีชนิดต่าง ๆ
ปีใหม่นี้คงต้องบอกตัวเองให้รักปลาแซลมอนน้อย ๆ ครั้นจะเหลียวมามองปลาจะละเม็ด ก็อุดมไปด้วยฟอร์มาลีน
กลับมาหาปลาทูเพื่อนยากกันดีกว่า

วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2558

การล้างผักผลไม้ ให้ปลอดภัย ก่อนรับประทาน



1. ปลอดภัยด้วยสูตรขนมปัง ใช้โซดาทำขนมปัง (โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร (1 กาละมัง) แช่ผักทิ้งไว้ 15 ก่อนนำมาปรุงอาหาร

2. ลดสารพิษฆ่าแมลง 60-84% ใช้น้ำส้มสายชู 0.5% หรือน้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที

3. ลดสารพิษฆ่าแมลง 54-63% เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที

4. ลดสารพิษฆ่าแมลง 7-33% ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที

5. ลดสารพิษ 50% ลวกผักด้วยน้ำร้อน ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50% เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง

6. เสียปริมาณดีกว่าเสียใจ ผักที่มีกาบใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น กะหล่ำปลี หัวหอมใหญ่ ควรปอกเปลือกหรือลอกใบชั้นนอกออกจะสามารถช่วยลดสารพิษลงได้

7. ฆ่าเชื้อด้วยคลอรีน ผสมผงปูนคลอรีน 1/2 ช้อนชากับน้ำ 20 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15-30 นาทีจะฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก

8. ล้างผักด้วยน้ำยาล้างจาน ใช้น้ำยาล้างจานกับฟองน้ำถูเบาๆ ช่วยลดโอกาสติดเชื้อที่อยู่บริเวณผิวของผลไม้ได้ วิธีนี้ยังเหมาะสำหรับล้างไข่ด้วย

9. ล้างนอกล้างในผลไม้ที่กินทั้งเปลือกได้ เช่น มะเฟือง สตรอเบอร์รี่ ฝรั่ง ควรล้างหลายๆ ครั้ง ใช้แปรงขนอ่อนถูเบาๆ ให้ทั่วแล้วล้างน้ำเกลือหรือน้ำสุก ส่วนผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกก่อนจึงกินได้ เช่น มะม่วง มะละกอ สับปะรด ควรนำมาล้างก่อน จึงค่อยปอกเปลือก เพราะถ้าไม่นำมาล้างก่อน สิ่งสกปรกบนผลไม้จะติดไปกับมือหรือมีดขณะปอกผลไม้ได้ ทำให้เนื้อผลไม้สกปรก

10. ยาสีฟันสารพัดประโยชน์ องุ่นปกติมักจะมีคราบเหมือนยางเป็นฝ้าขาวๆ ล้างยังไงก็ไม่ออก วิธีล้างให้เด็ดผลองุ่นออกจากพวงใส่ภาชนะบีบยาสีฟัน (อะไรก็ได้) พอสมควร ขยี้ให้ทั่วมือ ใส่น้ำพอสมควร แล้วล้างด้วยน้ำเปล่าจนสะเด็ดน้ำ

นอกจากนี้ยังมีการใช้ด่างทับทิม 5 เกล็ดต่อน้ำ 4 ลิตร ใช้น้ำปูนใสอิ่มตัวผสมน้ำเท่าตัว ใช้เกลือ 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 4 ลิตร และใช้น้ำซาวข้าวล้างผัก แช่ผักทิ้งไว้ ซึ่งก็ล้วนแต่ช่วยลดสารพิษอันก่อให้เกิดโรคต่อระบบขับถ่ายและลำไส้ได้ดี ใครสะดวกแบบไหนก็ใช้ได้ตามความถนัด

วิธีที่ดีที่สุดคือ เลือกที่สะดวก ปลอดภัย และให้ประสิทธิภาพในการชำระล้างสารพิษได้มากที่สุด เท่านี้...คุณก็จะมีสุขภาพดีจัง ตังค์อยู่ครบ…ขอให้มีสุขภาพดีถ้วนหน้านะคะ

สูตรเด็ดหมักบาบีคิว


การทำบาร์บีคิวมีหลายสูตร  บางสูตรก็หมักเนื้อสัตว์แค่พอเป็นพิธี  ไปเน้นทาซอสบาร์บีคิวตอนปิ้งย่าง  แต่ที่ทำวันนี้เป็นแบบหมักด้วยซอสเข้มข้นและตอนย่างทาด้วยซอสบาร์บีคิวที่เหลือจากการหมัก  ทาสลับกับเนยเพื่อความเงา  ไม่ต้องมีน้ำจิ้มก็อร่อยแล้วค่ะ  วันหลังจะลองหาสูตรอื่นมาฝากอีกค่ะ  ต้องติดตามกันต่อไปค่ะ


 
ส่วนผสมซอสหมักบาร์บีคิว  สำหรับเนื้อสัตว์ 500 กรัม (1/2 กิโลกรัม)
เนื้อหมูส่วนสันนอกหรือเนื้อวัวส่วนสันใน 500 กรัม  หรือใช้สันในไก่
หัวหอมใหญ่สับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
ผงกระเทียม 1 ช้อนชา
พริกไทยป่น 3/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
ซอสมะเขือเทศ 8 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสเปรี้ยว 1+1/2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1/2 ช้อนโต๊ะ
เหล้า 1-2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ  เล็กน้อย
 
ส่วนประกอบอื่น ๆ
ผักที่ใช้สำหรับเสียบบาร์บีคิว  เช่น
สับปะรด
หัวหอมใหญ่
พริกหวาน
มะเขือเทศสีดา
เนยสด  สำหรับทาตอนย่าง
วิธีทำ
  1. ล้างเนื้อสัตว์ที่ต้องการใช้  พักให้สะเด็ดน้ำ  เลาะส่วนมัน ๆ และพังผืดออก  ชั่งให้ได้น้ำหนัก 500 กรัม  ในรูปแม่หลิ่มใช้เนื้อหมูส่วนสันนอกและเนื้อไก่ส่วนสันในที่มีเหลืออยู่ในตู้เย็นค่ะ 
  2. หั่นเนื้อสัตว์เป็นชิ้นพอดีคำ  ขนาดประมาณ 1x1x1 นิ้ว  อย่าให้หนามากไป  ถ้าหนามากเกินไปเวลาปิ้งแล้วผักและผลไม้อาจสุกก่อนเนื้อสัตว์ค่ะ  ถ้าเป็นหมูใช้สันนอกและหมักข้ามคืนย่างแล้วไม่แข็งค่ะ  แต่ถ้าใช้เนื้อวัวส่วนสันในจะเหมาะกว่า  เตรียมเสร็จแล้วใส่ชามผสมไว้
  3. ปอกเปลือกหัวหอมใหญ่  ล้างน้ำ  พักให้สะเด็ดน้ำแล้วหั่นเป็นลูกเต๋าแล้วสับให้ละเอียด
  4. ผสมเครื่องปรุงอันได้แก่  พริกไทยป่น  ผงกระเทียม  น้ำตาลทราย  หัวหอมใหญ่ลงในชามเนื้อสัตว์
  5. ตามด้วยซอสมะเขือเทศ  ซอสเปรี้ยว  ซอสปรุงรส  เหล้า  และน้ำมันพืช  ใช้มือเคล้าให้เข้ากัน
  6. ลองใช้นิ้วแตะชิมน้ำซอสดู  ขาดเหลืออะไรเติมลงไปค่ะ  ซอสมะเขือเทศแต่ละชนิดมีความเค็มและเปรี้ยวไม่เท่ากัน  อาจแตกต่างกันไปบ้าง  ถ้าเค็มไม่พอเติมเกลือได้
  7. เหยาะซีอิ๊วดำลงไปเพื่อเพิ่มสีสัน ให้ได้สีสันตามที่ชอบ  ใช้มือนวด ๆ เคล้า ๆ ประมาณ 15 นาทีเพื่อช่วยให้ซอสซึมเข้าเนื้อสัตว์ได้ดีขึ้น
  8. ห่อพลาสติกแร๊บเข้าตู้เย็นไว้ข้ามคืนเพื่อให้เนื้อสัตว์นิ่มและซอสเข้าเนื้อได้ดี  เหล้าช่วยเพิ่มความหอม  ไม่มีไม่ใส่ก็ได้ค่ะ  บรั่นดี  วิสกี้  รัม  ตามชอบ  หากใช้เนื้อสัตว์ที่เป็นเนื้อวัวอาจเพิ่มน้ำสับปะรดเพื่อช่วยให้นุ่มขึ้นสักประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ  หรือหั่นชิ้นสับปะรดขนาด พอดีคำลงไปสัก 2-3 ชิ้นค่ะ  ถ้าหมักเกิน 12 ชั่วโมงจะดีมากค่ะ
  9. ก่อนนอน  ให้เตรียมไม้ที่สำหรับเสียบบาร์บีคิวแช่น้ำไว้  เพื่อจะช่วยให้เวลาย่างแล้วไม้ไม่ไหม้เสียก่อน  ในภาพแม่หลิ่มใช้ไม้เสียบขนาดความยาว 10 นิ้วนะคะ  ขึ้นกับว่าอยากเสียบบาร์บีคิวให้ยาวแค่ไหนด้วย  คราวหน้าจะลองลดเป็นขนาดความยาว 9 นิ้วค่ะ  เพราะขนาด 10 นิ้ว  ความหนาของไม้จะหนามาก  บางทีเสียบสับปะรดแล้วชิ้นแตกหักค่ะ  ถ้าใช้เหล็กสำหรับเสียบบาร์บีคิวก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปค่ะ
  10. เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนนำบาร์บีคิวเสียบไม้ให้สงไม้เสียบขึ้นจากน้ำ  พักไว้
  11. เตรียมผักและผลไม้สำหรับเสียบบาร์บีคิว  ถ้าจะให้สวยควรเลือกให้ต่างสีสัน  ผักที่นิยมใช้ได้แก่  สับปะรด  หัวหอมใหญ่  พริกหวาน  พริกหยวก  มะเขือเทศสีดาหรือมะเขือเทศราชินี
  12. ผักทุกอย่างล้างและพักให้สะเด็ดน้ำ  หัวหอมใหญ่ถ้าได้หัวเล็ก ๆ จะดีมาก  ถ้าหัวเล็กผ่าขนาด 4 ส่วน  ถ้าหัวใหญ่ดูตามความเหมาะสม  พริกหวานผ่าตามยาวแล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดประมาณ 1×1 นิ้ว  อย่าลืมเอาไส้พริกออกด้วย  สับปะรดปอกเปลือกแล้วเฉือนตาทิ้ง  ไม่ต้องควั่นเพื่อความสวยงามก็ได้ค่ะ  แล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ  มะเขือเทศสีดา  ล้างแล้วผ่าสองส่วนตามความยาวลูก
  13. ขั้นตอนการเสียบนั้นแล้วแต่ใจชอบเลยค่ะ  สลับสีสันและผักเองได้เลยค่ะ
  14. จะมีน้ำซอสบาร์บีคิวอยู่ก้นชามที่หมักเนื้อสัตว์  ให้เก็บไว้  ระหว่างการย่างให้ทาเนยสดและซอสบาร์บีคิวที่เหลือ  ใช้ไฟกลางมาทางอ่อน  และกลับเป็นครั้งคราว  ย่างจนบาร์บีคิวสุกทั่วกันค่ะ
  • ซอสเปรี้ยวคือ Worcestershire Sauce, ผงกระเทียมคือ Garlic Powder มีแบบผสมเกลือกับไม่ผสมเกลือ  ทั้ง 2 อย่างมีขายตาม supermarket ทั่วไปค่ะ
  • ถ้าเสียบบาร์บีคิวแบบแม่หลิ่มเสียบจะได้บาร์บีคิวประมาณ 15 ไม้ค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

ไข่เจียวไมโครเวฟ ง่ายๆแสนอร่อย



Screenshot 2015-02-26 15.28.04.pngScreenshot 2015-02-26 15.28.34.png 

เคยลองทำกินกันมั้ย เมนูไข่อีกแล้ว ไข่นี้ทำอาหารได้สารพัดเชียว แล้วแต่ว่าใครจะสร้างสรรค์เป็นแบบไหน วันนี้มีเมนูไข่เจียวไม่ต้องทอดด้วยเตา กระทะแต่อย่างใด กลับใช้ ไมโครเวฟแทนง่านๆไม่กี่นาที ใครอยู่หอไม่มีกระทะแนะนำให้ลองทำกินเองเลย อรอ่ยและดี ^^ 

Screenshot 2015-02-26 15.28.43.pngScreenshot 2015-02-26 15.29.02.png 

วิธีการเก็บกล้วยน้ำหว้าให้นานขึ้น10วัน



กล้วยน้ำว้า… ผลไม้ที่หารับประทานง่ายและมีสารอาหารมากมาย กล้วยน้ำว้า 1 ลูก ให้พลังงานประมาณ 100 แคลอรีและมีน้ำตาลธรรมชาติที่สำคัญ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุกโตส และกลูโคส นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่สำคัญ ทั้งวิตามิน B6 ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน, วิตามิน C ช่วยบำรุงกระดูก ฟัน และเหงือกให้แข็งแรง ที่สำคัญกล้วยน้ำว้า 1ลูก จะมีโปรตีน กรดอะมิโน อาร์จินินและอิสติดิน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก แต่เมื่อวางทิ้งไว้นานๆ จะทำให้กล้วยเป็นสีดำ ดูไม่น่ารับประทาน มีวิธีการเก็บกล้วยน้ำว้าให้อยู่ได้นานมาฝากค่ะ....

นำเชือกฟาง มาร้อยผูกกล้วยน้ำว้า แล้วนำไปหย่อนหรือจุ่มลงไปต้มในน้ำเดือด ประมาณ 3 นาที จากนั้นนำขึ้นมาวางผึ่งหรือแขวนไว้ เพราะความร้อนจากน้ำจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในกล้วย ทำให้เก็บกล้วยได้นานขึ้นประมาณ 10 วัน

ทราบกันไหมชาเย็นเป็นสาเหตุทำให้เป็นนิ่วในไต



 ช่วงอากาศร้อนๆ อบอ้าวแบบนี้ หากได้ดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้วคงทำให้สดชื่นไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นน้ำประเภทที่ให้รสชาติหวานกลมกล่อม อย่างเช่น กาแฟเย็น ชาดำเย็น นมเย็น ฯลฯ ด้วยแล้วยิ่งดีใหญ่

แต่ทราบกันไหมว่า ในน้ำประเภทนี้โดยเฉพาะชาเย็นนั้นหากดื่มมาก ๆ อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ทางการแพทย์ได้เตือนว่า ผู้ที่ดื่มชาเย็นเป็นประจำไม่ควรจะดื่มมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เป็นนิ่วในไตได้ เนื่องจากชาเย็นจะมีปริมาณกรดออกซาลิกสะสมอยู่มากซึ่งเป็นสารเคมีที่สำคัญที่ทำให้เกิดเป็นนิ่วในไต (การดื่มชาร้อนก็จะมีกรดออกซาลิกเหมือนกัน แต่โอกาสที่จะทำให้เป็นนิ่วได้นั้นจะยากกว่าการดื่มชาเย็น)

ดร.จอห์น มิลเลอร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะโรคระบบทางเดินปัสสาวะ โรงเรียนแพทย์สตริตช์ มหาวิทยาลัยโลโยลาแห่งชิคาโก กล่าวว่าผู้ที่เป็นนิ่วในไตง่ายไม่ควรดื่มชาเย็นเป็นอันขาดทั้งผุ้ชายและผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนจะมีฮอร์โมนเพศเอสโตรเจนน้อย และสตรีที่ได้ทำการผ่าตัดมดลูกออกไปแล้วมีโอกาสที่จะเป็นนิ่วได้ง่ายนิ่วในไตมีลักษณะเป็นก้อนผลึกเล็ก ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุและเกลือที่มีอยู่ในปัสสาวะมักเกิดขึ้นในไต หรือท่อซึ่งเป็นท่อปัสสาวะจากไตไปสู่กระเพาะปัสสาวะ โดยปกติแล้วมันจะหลุดออกไปได้เองแต่ถ้ามีขนาดโตมันจะติดค้างอยู่ในท่อส่งผลทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายหากเป็นมาก ต้องทำการผ่าตัดเลยทีเดียวทราบอย่างนี้แล้วต่อไปต้องเลือกบริโภคแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย